นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ว่าที่ผู้ช่วย รมว.คลัง กล่าวในงานเสวนาสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย “4 เดือน: สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่” ว่า แม้ตัวเลข GDP ช่วงต้นปีดูเติบโตดี แต่เป็นผลจากการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์เศรษฐกิจอื่น ๆ ทั้งการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยวยังอ่อนแรง ทำให้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยง “ติดหล่ม” โดยเฉพาะไตรมาส 4/68 ที่ได้รับผลกระทบจากภาษี “ทรัมป์” ตลอดทั้งไตรมาส
เขาระบุว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลหลายชุดใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะกระตุ้นฝั่งซัพพลายหรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สำเร็จได้อย่างไร รัฐบาลชุดนี้จึงกำหนดนโยบาย Quick Big Win ภายใต้แนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” นอกจากจะเร่งกระตุ้นระยะสั้นให้เกิดผลบวกระยะยาว ยังต้องทำให้พ้น 4 เดือนไป เครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของไทยกลับมาติดอีกครั้ง
นโยบาย Quick Big Win ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดภาระหนี้ประชาชน เพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี เพิ่มการออมของประชาชน และการลงทุนเพื่ออนาคต วางเป้าหมาย “ตอบโจทย์สั้น วางแผนยาว” ระยะสั้นเน้นฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อ หนี้ลด และออมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ขณะที่ระยะยาวมุ่งดึงดูดการลงทุน วางรากฐานอนาคต เพิ่มทักษะรองรับอุตสาหกรรมใหม่ และรักษาเสถียรภาพการคลัง
ตัวชี้วัดที่จับต้องได้ ได้แก่ GDP ไตรมาส 4/68 ขยายตัวมากกว่า 0.3% หนี้ครัวเรือนลดลงต่ำกว่า 87.4% ของ GDP สภาพคล่องเอสเอ็มอีดีขึ้น ประชาชนมีช่องทางการออมระยะยาวมากขึ้น และเงินลงทุนเพื่ออนาคตไหลเข้ามากขึ้น โดยย้ำว่า “สิ่งที่ต้องตระหนักมากที่สุดคือวินัยการคลัง” ที่ผ่านมาเราอาจดูแลวินัยการคลังไม่ดีพอ ทำให้พื้นที่ใช้นโยบายการคลังเพื่อพยุงเศรษฐกิจเหลือน้อย และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นที่ดังกล่าวจะยิ่งหดตัวลง
ด้านนายอธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์การคลังของไทยน่าเป็นห่วง โดยสถาบันจัดอันดับอย่าง Fitch และ Moody’s ปรับลดมุมมองของไทยเป็น “ลบ” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ต้นตอปัญหามาจากโครงสร้างเชิงนโยบายแบบ “มองสั้น” (Fiscal Short-termism) รัฐบาลที่ผ่านมาเน้นนโยบายประชานิยมหวังผลระยะสั้น ไม่คำนึงผลกระทบระยะยาว ทำให้การขาดดุลงบประมาณราว 4% ของ GDP กลายเป็น “ภาวะปกติใหม่” ที่น่ากังวล
เขาชี้ว่า โครงสร้างเชิงสถาบันยังไม่สร้างวินัยการคลังได้จริง โดยมี 3 เสาหลักที่ต้องเร่งแก้ ได้แก่ (1) กฎเกณฑ์การคลัง ปัจจุบันเพดานหนี้สาธารณะ 70% ของ GDP ไม่มีแผนลดในอนาคต และมีการใช้งบลงทุนไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดสินทรัพย์ถาวรจริงหรือแฝงรายจ่ายประจำไว้ในงบลงทุน (2) กลไกถ่วงดุล ไทยยังไม่มีสถาบันการคลังอิสระเทียบเท่า CBO (สหรัฐฯ) หรือ OBR (สหราชอาณาจักร) การกำกับวินัยการคลังเป็นหน้าที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความเป็นอิสระ ฝั่งนิติบัญญัติก็จำกัด—ปีงบ 67 ปรับลดงบประจำได้เพียง 0.26% ของงบรายจ่ายทั้งหมด และ (3) ความโปร่งใส รายจ่าย: งบประจำปีไม่รวม “เงินนอกงบฯ” ที่มีขนาดกว่า 60% ของงบรายจ่ายรวม รายรับ: รายได้ภาษีลดลงต่อเนื่อง แต่ไม่เคยเปิดเผยเป็น Tax Expenditures อย่างเป็นระบบ ด้านสินทรัพย์และหนี้ ขาดการทบทวนบัญชีสินทรัพย์ของรัฐอย่างเป็นระบบ แม้กรอบกฎหมายจะดูเข้มแข็ง แต่ยังมี “หนี้ซ่อน” ตามมาตรา 28 ราว 1 ล้านล้านบาท
นายอธิภัทรเสนอว่า เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและสร้างเสถียรภาพการคลังในระยะยาว รัฐบาลใหม่ควร (1) วางเข็มทิศการคลังให้ชัด จัดทำกรอบการคลังระยะปานกลางที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติได้จริง เพื่อแสดงเส้นทางลดการขาดดุล (2) เพิ่มความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลการคลังให้สาธารณชนเห็นฐานะการคลังที่แท้จริง และ (3) ทบทวน-ยกระดับกฎเกณฑ์การคลัง ปรับปรุง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ปิดช่องโหว่ที่ถูกใช้ในทางไม่เหมาะสม พร้อมสร้างกลไกกำกับดูแลที่เข้มแข็ง เขาย้ำว่า แม้รัฐบาลมีเวลาช่วงแรกเพียง 4 เดือน แต่การเริ่มต้นยกระดับความน่าเชื่อถือทางการคลังเป็นภารกิจเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ไทยสูญเสียความเชื่อมั่นในระยะยาว
ในส่วนพลังงาน นายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุว่า สถานการณ์ราคาพลังงานปัจจุบัน ค่าไฟฟ้าจะตรึงที่ 3.94 บาทต่อหน่วยไปจนสิ้นปีนี้ ราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) คงไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กก. โดยจะบริหารจัดการไม่ให้เป็นภาระ ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลทยอยปรับลดอย่างระมัดระวัง เพื่อชำระหนี้คงค้างของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตครั้งก่อน สำหรับโครงการเร่งด่วน (Quick Win) ที่จะเห็นผลภายใน 4 เดือน ได้แก่ (1) โซลาร์ฟาร์มชุมชน นำโควตาที่เหลือจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) จำนวน 1,500 เมกะวัตต์ มาจัดสรรให้ชุมชน คาดเกิดโซลาร์ฟาร์มอย่างน้อย 300 ชุมชน ครอบคลุม 15,000 ครัวเรือน เปิดทางให้เอกชนร่วมกับชุมชน ผู้เข้าร่วมได้รับส่วนลดค่าไฟ 20% และส่วนแบ่งกำไรจากการขายไฟเข้าระบบ คาดกระตุ้นเศรษฐกิจราว 30,000 ล้านบาท (2) โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร เปลี่ยนระบบสูบน้ำจากใช้ไฟฟ้ามาเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ลดต้นทุนเกษตรกร เริ่มทันที 50 ระบบทั่วประเทศ โดยใช้งบจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าของ กกพ. (3) มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์รูฟท็อป เตรียมเสนอ ครม. ภายในเดือนนี้ ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 200,000 บาท คาดกระตุ้นเศรษฐกิจราว 20,000 ล้านบาท และ (4) โครงการซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวโดยตรง (Direct PPA) สำหรับภาคอุตสาหกรรม ตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าสะอาดของกลุ่ม Data Center และอุตสาหกรรม S-Curve ในพื้นที่ EEC นอกจากนี้จะเร่งปรับปรุงแผน PDP ฉบับใหม่ ตั้งคณะกรรมการภายในเดือนนี้ เน้นเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 เร็วกว่ากรอบเดิมปี 2065 โดยคาดเห็นความชัดเจนก่อนการยุบสภา
ด้านนางสาวอารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ TDRI เสนอ “มาตรการเร่งด่วนระยะสั้น” แก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อพลังงานสะอาด เช่น ยกเลิกใบอนุญาต รง.4 สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทุกชนิด—ทุกกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายเป็นโรงงาน ยกเลิก พค.2 ใบอนุญาตพลังงานควบคุมสำหรับการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และออกพระราชกฤษฎีกาเพิ่มขนาดหรือประเภทโรงไฟฟ้าที่ไม่ต้องขออนุญาต ให้เพียง “จดแจ้ง” เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย NDC 3.0 พร้อมเสนอให้ “สานต่อนโยบาย Quick Win” สู่แผนปฏิรูป 2–3 ปี บูรณาการนโยบายพลังงาน กล้าปรับโครงสร้างตลาดไฟฟ้า เปิด Third Party Access เพื่อสร้างความชัดเจนนโยบายและความมั่นใจนักลงทุน และวางกรอบรองรับระยะยาว จัดตั้งศูนย์รวมข้อมูลพลังงานเพื่อโปร่งใสและติดตามความก้าวหน้า ให้ระบบนโยบายและงบประมาณมีความต่อเนื่องไม่ขึ้นกับรัฐบาล เธอย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องมองให้รอบด้าน “อย่าทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” เปิดโอกาสทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โครงการโซลาร์ภาคประชาชนควรเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง—สื่อสารว่า “ค่าไฟที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ค่าไฟที่ถูก แต่คือค่าไฟที่เป็นธรรม” รวมถึงให้ความรู้เรื่องซับซ้อน เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
ในมิติการค้าการลงทุน นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ว่าที่ผู้ช่วย รมว.พาณิชย์ ระบุ 7 นโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ โดยแผนเร่งด่วนจะครอบคลุมหลายมิติ ได้แก่ การรับมือภาษีการค้าสหรัฐฯ เร่งเจรจาประเด็นภาษีทั้ง Reciprocal Tariff และภาษีรายสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น เซมิคอนดักเตอร์และเหล็ก พร้อมเตรียมความพร้อมด้านกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Local Content) แม้กฎยังไม่ชัดเจน แต่ต้องพร้อมเสมอ การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดน จำเป็นต้องเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งการค้า โรงแรม ร้านอาหาร พร้อมหาตลาดใหม่รองรับสินค้าท้องถิ่นที่ส่งออกไปกัมพูชาไม่ได้ การขยายตลาดและ FTA เดินหน้าเจรจากับ EU และเกาหลีใต้ ควบคู่อัปเกรด FTA เดิม เช่น อาเซียน–จีน และอาเซียน–เกาหลีใต้ พร้อมบุกตลาดใหม่ที่ยังไม่มี FTA เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง เพื่อต่อยอดสินค้าไทย การลดภาระค่าครองชีพ ปฏิรูประค่ายาในโรงพยาบาลเอกชน โดยจะประกาศความชัดเจน 28 ต.ค.นี้ ให้ผู้ป่วยเห็นบิลค่ายาก่อนจ่ายและมีสิทธิเลือกซื้อยาบางรายการจากร้านขายยาภายนอก การดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร เน้นบริหารอุปทาน ควบคุมราคา ชะลอผลผลิตช่วงราคาตก และเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ พร้อมทดลอง Sandbox ปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่มีตลาดรองรับชัดเจน เช่น กล้วยหอมทองและอะโวคาโด ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกร การเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอีและปฏิรูปกฎระเบียบ พัฒนาทักษะดิจิทัล ยกตัวอย่าง “คนละครึ่งพลัส” ที่นอกจากช่วยเงินแล้วยังอัปสกิลสู่ E-Commerce และการลดขั้นตอนด้วยเทคโนโลยีในทุกกรม เปลี่ยนเอกสารเป็นอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดต้นทุนและทรัพยากร
ภาคตลาดทุน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ช่วงเวลา 4 เดือนของรัฐบาลเป็นระยะเวลาสั้นจึงต้อง “เลือกทำ” เสนอนโยบายคานงัด 10X ใช้เงินน้อยแต่ได้ผลมาก เช่น ให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอี ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐบนสินค้าไทย เนื่องจากทั่วโลกกังวลสินค้าจีนที่ตีตลาดในไทย พร้อมจัดสรรงบเพิ่มให้หน่วยงานที่สร้างรายได้ เช่น ททท. กระทรวงพาณิชย์ EXIM BANK และ BOI รวมทั้ง “เปิดประตูนโยบาย” ปลดล็อกกฎเกณฑ์ เช่น นำบริษัทที่ได้ BOI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม S-Curve ซึ่งสามารถแก้กฎได้ภายใน 4 เดือน ควบคู่มาตรการส่งเสริมการออมเพื่อเกษียณ การปรับกฎเกณฑ์ BOI ให้บริษัทช่วยชุมชน เปิดเสรีภาคบริการ และเดินหน้ากิโยตินกฎหมาย เขามองว่า “หัวใจคือการกำหนดว่าจะทำอะไรและแบ่งงานอย่างไร สี่เดือนทำได้”
ภาคเกษตร นายนิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนเพื่อแก้วิกฤตและวางรากฐานสู่เกษตรสมัยใหม่ โดยเน้นแก้ปัญหา “ตรงจุด” และลงทุนใน “ทุนมนุษย์” ได้แก่ ลงทุนผลิตและกระจายพันธุ์มันสำปะหลังต้านโรคใบด่าง ซึ่งระบาดแล้วกว่า 1 ล้านไร่ เสนอใช้งบ 125 ล้านบาท ผลิตต้นพันธุ์ทนโรค 1 ล้านต้นภายในปีนี้เพื่อแจกเกษตรกร เร่งสูบน้ำออกจากทุ่งนาในเจ้าพระยาตอนกลาง–ล่าง เพื่อให้ชาวนาเริ่มปลูกข้าวช่วง 15–31 ธันวาคม ซึ่งสถิติบ่งชี้ว่าได้ผลผลิตเกิน 1 ตันต่อไร่และยังเริ่มนาปีถัดไปได้เร็วขึ้น ควบคู่การอุดหนุนขุดบ่อน้ำบาดาลและแหล่งน้ำชุมชน โดยขยายผลจากนโยบายโซลาร์รูฟทำสูบน้ำพื้นที่นอกเขตชลประทาน และปรับวัตถุประสงค์การอุดหนุนเพื่อโครงสร้าง Low Carbon เช่น ข้าวคาร์บอนต่ำ (LOW CARBON RICE) สนับสนุนการไถกลบแทนการเผา พร้อมลงทุนยกระดับทักษะทางเทคนิค การเกษตรแม่นยำ การใช้โดรน และการจัดการฟาร์ม รวมทั้งสร้างความร่วมมือมหาวิทยาลัย–เกษตรกร ผ่านตำแหน่ง “ศาสตราจารย์นวัตกรรม” ลงพื้นที่ทำวิจัยร่วมและนำองค์ความรู้สมัยใหม่ไปประยุกต์ใช้จริง
#เศรษฐกิจไทย #ติดหล่มเศรษฐกิจ #ภาษีทรัมป์ #วินัยการคลัง #QuickWin #การคลังไทย #Fitch #Moodys #หนี้สาธารณะ #เงินนอกงบ #SMEไทย #โซลาร์ฟาร์มชุมชน #PDP #LPG #ดีเซล #DirectPPA #EEC #พลังงานสะอาด #NDC30 #FTA #EU #เกาหลีใต้ #อินเดีย #ตะวันออกกลาง #ค่าครองชีพ #ราคายา #สินค้าเกษตร #Sandboxเกษตร #BOI #ตลาดทุนไทย








