ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
สัปดาห์ที่แล้วเราได้วิเคราะห์ไปแล้ว 3 พรรค ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน วันนี้เรามาลองวิเคราะห์พรรคอื่นๆ กันดูบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคที่ดูแล้วน่าจะมีบทบาทในการเลือกตั้งที่ (คาดว่า) กำลังจะเกิดขึ้น
วันนี้จะไม่พูดถึงพรรคนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ “พรรคกล้าธรรม” หรือที่คนเอาไปแซวกันว่าเป็นพรรคกล้าทำ คือกล้าทำทุกสิ่ง กล้าหัก กล้าเปลี่ยนขั้ว และอีกหลายๆกล้า ที่คนอื่นและพรรคอื่นไม่กล้า ซึ่ง “ความกล้า” ของพรรคกล้าธรรมนี่เองที่จะกลายเป็นจุดเด่นสำคัญของพรรค และจะทำให้พรรคมีบทบาทอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
หากสังเกตกันให้ดีจะพบว่า พรรคกล้าธรรมเป็นพรรคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีลมใต้ปีกที่ดีและยังมีวิทยายุทธทั้งลอยฟ้าและดำดิน แถมยังมีทุน จนทำให้สส.จำนวนไม่น้อยไหลเข้าสู่พรรค เดาไม่ได้ยากว่าบารมีและฐานเสียงของบรรดาสส.เก่าทั้งที่มีอยู่แล้วและจะย้ายมาเพิ่มบวกกับวิทยายุทธของเจ้าของสำนัก จะนำพาพรรคนี้ให้โตขึ้นไปอีกระดับ จากพรรคขนาดเล็กไปสู่พรรคขนาดกลางถึงใหญ่ได้ในเลือกตั้งงวดหน้า และจะกลายเป็นพรรค “ตัวแปร” สำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลและการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมองภายใต้สมมติฐานว่างวดหน้า พรรค ส้ม แดง และน้ำเงิน จะได้คะแนนใกล้เคียงกัน พรรคกล้าธรรมก็จะสามารถสวมบทบาทของพรรคภูมิใจไทยในครั้งที่แล้วได้อย่างสบายๆ จนสามารถเจรจาตำแหน่งรัฐมนตรีได้ไม่น้อย แลกกับเสียงโหวตราวๆ 50-70 เสียงที่น่าจะได้ในการเลือกตั้งงวดหน้า เป็นอีกหนึ่งพรรคที่คงบอกได้ว่า เป็น “ขาขึ้น”
แต่อย่างไรก็ดี พรรคนี้ก็มีปัญหาเรื่อง “ภาพลักษณ์” ไม่น้อย ที่อาจทำให้พรรคอื่นๆต้องคิดเยอะถ้าจะสนิทชิดเชื้อเพราะก็กลัวว่าจะโดนเหมารวมในเรื่องลบๆ ไปด้วย เพราะไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง บางทีก็ไม่ได้มีความสำคัญในการเมืองไทย สิ่งที่สำคัญกว่าคือ คนไทยเชื่อและสื่อลงข่าวให้คนเม้ากันในตลาด แค่นั้นก็พอให้เสียชื่อแล้ว แต่สุดท้ายพรรคอื่นๆจะถอยหนีหรือวิ่งเข้าหา ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสส.ที่จะได้ เพราะถ้ามีสส.เยอะคนเค้าก็พร้อมจะนับเป็นน้องเป็นพี่ ตามสัจธรรมการเมืองไทย
ในฟากฝั่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ วันนี้คงไม่น่าจะต้องวิเคราะห์อะไรกันมาก เพราะความเป็นพรรคเฉพาะกิจ ย่อมไม่ได้มีเป้าหมายไปไกลถึงการเป็นสถาบันทางการเมือง เมื่อภารกิจจบพรรคเฉพาะกิจก็มักจะจบตัวลงไปด้วย วันนี้ชัดแล้วว่าแยกย้ายไปตามทางของแต่ละคน งวดหน้าหากได้สส.อยู่บ้างก็คงเล็กน้อย และอาจไม่ได้มีเสียงดังในทางการเมืองในเร็ววันนี้
ใกล้เคียงกันแต่อาจจะดีกว่า คือพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะอ่อนกำลังลงไปมาก แต่ก็ยังมีความเหนียวแน่นอยู่ในที่เรียกว่าอาจจะดีกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริหารของพรรค ที่ยังคง “ประคองกันเดิน” ไปเรื่อยๆ แต่คงไม่น่ามีแถวสองที่น่าสนใจในการเลือกตั้งงวดหน้า คนรุ่นใหม่ของพรรคก็กระจัดกระจายไปหลายทิศทาง งวดหน้าชะตากรรมคงไม่ต่างกับพรรครวมไทยสร้างชาติ
ในส่วนพรรคสีชมพูอย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา ในการเลือกตั้งงวดหน้าจะยังคงความได้เปรียบอยู่จากการที่เป็นพรรคเชิงพื้นที่ ที่มีพื้นที่ปฏิบัติการชัดเจนและมั่นคงมากๆ ไม่ต่างกับพรรคภูมิใจไทย หากแต่ยังไม่สามารถขยายสาขาออกไปได้ทั่วประเทศเหมือนภูมิใจไทย ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาจะยังเดินได้อย่างค่อนข้างมั่นคง แต่อาจจะไม่ได้โตขึ้น แต่วันนี้ก็ยังไม่แน่ เพราะดันมีข่าวลืมมาว่าจะไปรวมกับสีแดงหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป
เมื่อพูดถึงพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่า นี่อาจเป็นทางรอดของพรรคการเมืองขนาดเล็กและกลาง ด้วยกติการการเลือกตั้งในปัจจุบัน การทำพรรคขนาดเล็ก (หรือแม้แต่กลาง) แล้วหว่านผู้สมัครไปทั่วประเทศ น่าจะสำเร็จได้ยาก (มากๆๆ) เพราะยากเหลือเกินที่จะต่อสู้กับทั้ง “กระสุน กระแส และ กติกา” แต่โมเดลที่อาจจะได้ผลดีกว่าที่คิดในวันนี้ คือ โมเดลเชิงพื้นที่ โดยโฟกัสที่สส.เก่าที่มีฐานเสียงอยู่แล้วมารวมตัวกัน หากรวมตัวกันได้ ก็อาจกลายเป็นพรรคอีสาน พรรคภาคเหนือ พรรคภาคตะวันตก ที่จับตัวกันเป็นก้อน ได้สส.ชัวร์ๆ แล้วรวมกันไปต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี แบบนี้อาจจะมั่นคงปลอดภัยมากกว่า คล้ายๆชาติไทยพัฒนา ที่ไม่หวือหวา แต่ค่อนข้างมั่นคง
พรรคสุดท้ายก่อนจากกัน พรรคไทยสร้างไทย วันนี้ยังเงียบๆ แต่ดูแล้วน่าจะยังลุยอยู่ แต่ท่าทางน่าจะเข็ดกับการทำการเมืองแบบเบอร์ใหญ่ระดับประเทศไม่น้อย วันนี้เดาว่าคงจะเลิกหว่านเช่นกัน แต่จะโฟกัสไปทิศทางไหนนั้น ยังไม่เปิดเผยให้เห็นกันชัดๆ แต่ที่ต้องจับตาและเอาใจช่วยไปด้วย ก็คือ ทุน ซึ่งเปรียบได้กับเส้นเลือดของพรรคการเมือง ถ้าตีบ ก็ตุยได้ง่ายๆ ถ้าทุนหด งวดหน้าก็อาจจะได้เห็นพรรคไทยสร้างไทยที่เงียบลงไม่หวือหวาเหมือนเคย เป็นอีกพรรคที่อาจเป็นขาลง และอาจไม่ได้มีอิทธิพลต่อสมการการเมืองมากเหมือนการเลือกตั้งงวดที่ผ่านมา
พื้นที่หมดพอดี สัปดาห์หน้ามาต่อกันครับ