นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารเข้าหารือกับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำโดยนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. ว่าการหารือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและลดช่องว่างการทำงานระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะผันผวนและแข่งขันรุนแรง การประสานความร่วมมือจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
ส.อ.ท.ได้นำเสนอ 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทแข็งเกินจริงจากพื้นฐานเศรษฐกิจ ได้แก่ 1.การค้าทองคำ ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุม เช่น การค้าด้วยสกุลเงินดอลลาร์เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงิน 2.การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และ 3.การเคลื่อนย้ายเงินทุนสีเทา
นายเกรียงไกรกล่าวว่า หลังจาก ส.อ.ท. เคยเสนอให้ ธปท. เข้ามาดูแลค่าเงินบาทก่อนหน้านี้ พบว่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงระดับหนึ่ง และหากมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นจะช่วยรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับเหมาะสม โดย ส.อ.ท. เห็นว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันควรอยู่ที่ 34–35 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ หากเงินบาทแข็งกว่าคู่แข่งในภูมิภาค จะกระทบต่อภาคส่งออกทันที เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกคิดเป็น 60% ของ GDP และการท่องเที่ยวอีก 10%
พร้อมกันนี้ ส.อ.ท. ยังเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน (Connect the Dots) อาทิ ธปท., กระทรวงพาณิชย์, ก.ล.ต., กรมศุลกากร และ ปปง. เพื่อดูแลทิศทางค่าเงินอย่างเป็นระบบ
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ธปท.มีภารกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.รักษาเสถียรภาพทางการเงิน ดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย 2.สร้างเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ให้เข้มแข็งและให้บริการได้ต่อเนื่อง และ 3.สร้างเสถียรภาพระบบการชำระเงิน ให้สะดวก ปลอดภัย และมีต้นทุนที่สมเหตุผล
ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า ธปท.จะดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ไม่ให้ผันผวนจนกระทบภาคธุรกิจ พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบและผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน ส.อ.ท. ยังเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและหาตลาดใหม่ เพื่อรับมือกับนโยบายภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ที่เริ่มกระทบหลายอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์ ไม้และเฟอร์นิเจอร์ โดยเสนอให้รัฐสนับสนุนข้อมูลเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และนโยบายบรรเทาผลกระทบ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ปรับตัวได้ทัน
นอกจากนี้ นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. ยังเสนอให้ภาครัฐจัดตั้ง “กองทุน SME” และพัฒนาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 2% เพื่อส่งเสริมธุรกิจที่ปรับตัวสู่ “เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล” รวมถึงเพิ่มพอร์ตค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. เพื่อขยายการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการรายย่อย
#สอท #ธปท #เงินบาทแข็ง #ส่งออกไทย #เศรษฐกิจไทย #SMEไทย #ภาษีทรัมป์ #ReciprocalTariff #อุตสาหกรรมไทย #ข่าวเศรษฐกิจ