ศึกเลือกตั้งซ่อมในเขต 4 จังหวัดกาญจนบุรีที่ผ่านมา แม้ “พรรคเพื่อไทย” จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่สำหรับคอการเมืองกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะผลแพ้–ชนะระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” นั้น ถูกคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่า ผู้สมัครจากพรรคสีน้ำเงินน่าจะเป็นฝ่ายคว้าชัยได้ไม่ยาก
ผู้ชนะในสนามนี้คือ “วิสุดา วิเชียรศิลป์” ผู้สมัครหมายเลข 1 จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคว้าชัยไปด้วยคะแนน 53,542 คะแนน ขณะที่คู่แข่งจากพรรคเพื่อไทย “พล.อ.ชินวัฒน์ แม้นเดช” หรือ “บิ๊กเลน” ผู้สมัครหมายเลข 2 ได้ไป 36,521 คะแนน

นั่นเท่ากับว่า วิสุดาทิ้งห่างคู่แข่งกว่า 17,000 คะแนน ผลที่ชี้ให้เห็นถึงพลังของเครือข่ายเดิมในพื้นที่ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญของ “ศักดา วิเชียรศิลป์” อดีต ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งปัจจุบันขยับขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และย้ายมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยแล้ว
*ลูกสาว รมช.มหาดไทย “แพ้ไม่ได้”
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การทดสอบคะแนนนิยมของผู้สมัครรายบุคคล แต่ยังเป็น “เดิมพัน” ทางการเมืองของศักดา ที่ต้องการรักษาพื้นที่เดิมของตัวเองไว้ให้ลูกสาว ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นสิ่งที่ “ต้องเกิดขึ้น” อยู่แล้ว และเมื่อวิสุดาคว้าชัยมาได้ จึงตอกย้ำอิทธิพลของศักดาในพื้นที่ ที่ยังคงเหนียวแน่นแม้จะเปลี่ยนพรรค
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ชัยชนะของวิสุดา ยังช่วยเสริมบทบาทของศักดาในพรรคภูมิใจไทยให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเขาถูกพูดถึงว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มี “กลุ่ม ส.ส.” อยู่ในการดูแลเกือบ 10 คน การพา ส.ส.หน้าใหม่เข้าสภาฯ ได้สำเร็จเช่นนี้ ย่อมเพิ่มน้ำหนักทางการเมืองให้กับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

* พรรคเพื่อไทย ปัญหาภายในเริ่ม “กดดัน”
แม้กูรูการเมืองจากหลายสำนักจะประเมินไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พื้นที่นี้เป็นโจทย์ยากสำหรับพรรคเพื่อไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสนามกลับสร้างคำถามและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา โดยเฉพาะกรณีที่ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ปรากฏตัวลงพื้นที่ช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรค
ตรงกันข้ามกับพรรคภูมิใจไทย ที่ส่งทัพใหญ่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่อย่างเต็มกำลังเพื่อสนับสนุนวิสุดา จนกลายเป็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนระหว่างสองพรรคใหญ่
การไม่ลงพื้นที่ของแพทองธาร ถูกตีความในหลายแง่มุม บ้างว่าเป็นเพราะประเด็น “คลิปเสียงฮุนเซน” ที่อาจทำให้เธอไม่กล้าขยับตัวมากนัก ขณะที่อีกกระแสก็ชี้ว่า พื้นที่กาญจนบุรีอาจอยู่ไกลจากฐานเสียงหลักในภาคอีสาน ซึ่งพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การที่หัวหน้าพรรคไม่ลงพื้นที่เอง ประกอบกับภาวะ “เลือดไหล” จากพรรคที่มีให้เห็นผ่านสื่อ ทั้งในรูปแบบของ ส.ส.ที่ลาออกไปสังกัดพรรคอื่น หรือแม้แต่ลาออกจากพรรคโดยสิ้นเชิง เนื่องจากปัญหาภายใน ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม และความไม่พอใจต่อโครงสร้างอำนาจภายในพรรค ล้วนเป็นปัจจัยที่น่ากังวล

อีก 4 เดือน ก่อนศึกเลือกตั้งใหม่
เมื่อเวลานับถอยหลังเหลือเพียง 4 เดือน ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นต้นปีหน้า ผู้สมัครหน้าเดิมหรือหน้าใหม่ในพรรคเพื่อไทยย่อมต้องคิดหนัก ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ “ภูมิใจไทย” ดูจะมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งบุคลากรและ “เสบียง” ที่จะใช้ในศึกเลือกตั้ง
ขณะที่พรรคเพื่อไทย กลับยังไม่เห็นการแสดงพลังจากผู้นำอย่างแพทองธารอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรายงานว่ารัฐบาลเตรียมปล่อยนโยบาย “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 ในช่วงต้นเดือนมกราคม ปี 2569 เพื่อตอกย้ำฐานเสียงและสร้างคะแนนนิยม ก่อนที่นายกฯ อนุทินจะประกาศยุบสภาและเปิดศึกเลือกตั้งใหญ่
แม้ผลการเลือกตั้งซ่อมในเขต 4 จังหวัดกาญจนบุรีจะไม่ได้เหนือความคาดหมาย แต่กลับสะท้อนถึงความเคลื่อนไหวในพรรคการเมืองหลักอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาภายใน และความท้าทายในการเตรียมตัวสู่สนามเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว !