รายงานพิเศษเศรษฐกิจ
“รัฐบาลอนุทิน” ปัดฝุ่น “คนละครึ่ง” อัพเกรด “คนละครึ่ง พลัส” ปชช.ตอบรับแห่ลงทะเบียนครบ 20 ล้านสิทธิ์ จบวันเดียว!
ตอบรับนโยบายโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ของ “รัฐบาลอนุทิน” กับการลงทะเบียน 20 ล้านสิทธิ์ ของประชาชนในวันแรก (20 ตุลาคม 2568) ของการเปิดลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" (ทั้งผู้เคยรับสิทธิ์และผู้ลงทะเบียนใหม่) ครบจำนวนจบในวันเดียว! ทั้งนี้ได้เปิดลงทะเบียนถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568
โดยประชาชนที่ลงทะเบียนสำเร็จจะเห็นสถานะ "รอผลลงทะเบียน 3 วัน" หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าสิทธิ์ถูกจองในระบบแล้ว หากคุณสมบัติถูกต้องจะได้รับสิทธิ์แน่นอน จากนั้นจะสามารถใช้จ่ายผ่านโครงกาฯได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. 68 - 31 ธ.ค. 68 เวลา 06.00 - 23.00 น. ของทุกวัน และต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 11 พ.ย. 68 เวลา 23.00 น. เพื่อมิให้ถูกยกเลิกสิทธิ
ทั้งนี้โครงการคนละครึ่ง พลัส ยังคงหลักการ “รัฐช่วยจ่าย 50% ประชาชนจ่าย 50%” ซึ่งเป็นการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่ประสบความสำเร็จในอดีต (คนละครึ่ง เฟส 1-5) กลับมาปัดฝุ่นใหม่ในสมัยรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยมีการ อัปเกรดเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และมุ่งเป้าหมายที่การ จูงใจให้ประชาชนเข้าระบบภาษี และขยายโอกาสให้ร้านค้ามากยิ่งขึ้น
โดยหากมีการเปรียบเทียบความแตกต่างของโครงการ “คนละครึ่ง (รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปี 2563-2565) กับ “คนละครึ่ง พลัส (รัฐบาล อนุทิน) ได้แก่ อัตรารัฐช่วยจ่าย : คนละครึ่งเดิม 50% คนละครึ่ง พลัส 50% ,วงเงินต่อวัน รัฐช่วยสูงสุด : คนละครึ่งเดิม 150 บาท/วัน คนละครึ่ง พลัส 200 บาท/วัน ,วงเงินรวมต่อโครงการ : คนละครึ่งเดิม 800 -4,500 บาท/เฟส คนละครึ่ง พลัส แบ่งกลุ่ม 2,000 บาท หรือ 2,400 บาท ,เกณฑ์อายุผู้มีสิทธิ์ : คนละครึ่งเดิม 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป คนละครึ่ง พลัส 16 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป ,กลุ่มพิเศษ : ไม่มีการแข่งสิทธิพิเศาตามสถานะภาษี คนละครึ่ง พลัส ผู้ยื่นแบบภาษีได้สิทธิ์สูงสุด 2,400 บาท และช่องทางใช้สิทธิ์ใหม่ : คนละครึ่งเดิม ไม่มี คนละครึ่ง พลัส รองรับการใช้จ่ายผ่าน Food Delivery
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ “โครงการคนละครึ่งของรัฐบาลลุงตู่” มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือ จำนวนผู้ใช้สิทธิ์ ที่มีผู้ได้รับสิทธิ์สะสมสูงสุดถึงกว่า 31 ล้านคน และยอดใช้จ่ายสะสม ที่ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่รัฐร่วมจ่าย ประมาณ 8.5 หมื่นล้านบาท และส่วนที่ประชาชนจ่าย ประมาณ 8.7 หมื่นล้านบาท
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าโครงการสามารถ อัดฉีดกำลังซื้อ เข้าสู่ระบบได้อย่างตรงจุดและทั่วถึง สร้างสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการผลักดันให้ประชาชนและร้านค้าจำนวนมากหันมาใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล โดยการใช้แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" (สำหรับประชาชน) และ "ถุงเงิน" (สำหรับร้านค้า) เป็นการสร้างรากฐานและสร้างความคุ้นเคยให้กับสังคมไทยในการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างกว้างขวางอีกด้วย
ขณะที่ “โครงการคนละครึ่ง พลัส ของรัฐบาลอนุทิน” ซึ่งมีเวลาในการบริหารประเทศเพียง 4 เดือน กลับวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณไว้ไม่เกิน 44,000 ล้านบาท กับกลุ่มเป้าหมายประชาชนทั่วไปไม่เกิน 20 ล้านสิทธิ์ จะสามารถสร้างผลงานให้กับรัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหน
ต้องติดตามกันต่อไป!!!
+++++++++++++++++++++++++++++++