“อลงกรณ์”เยือนปักกิ่งปาฐกถาพิเศษ“อดีต50ปีมั่นคงสู่อนาคต50ปีก้าวหน้า”ในวาระครึ่งศตวรรษมิตรภาพไทย-จีน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ อดีตรัฐมนตรีและสส.หลายสมัยได้รับเชิญร่วมสัมมนาและกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ“อดีต 50 ปีมั่นคงสู่อนาคต 50 ปีก้าวหน้า” ในวาระครึ่งศตวรรษมิตรภาพไทย-จีน เมื่อเร็วนี้ ณ โรงแรมแชงการิล่า กรุงปักกิ่งโดยกล่าวถึงประวัติศาสตร์แห่งความเป็นมิตรกว่า2พันปีก่อนเข้าสู่50ปีความสัมพันธ์ทางการฑูตในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมาเริ่มจากการทำความรู้จักกันในเบื้องต้นพัฒนาสู่ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์สะท้อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนและวัฒนธรรมที่มั่นคงโดยคาดหวังว่าความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีดิจิตอล ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานสะอาด โลจิสติกส์ข้ามทวีปและสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโลกร้อนจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ของ2ประเทศสู่ยุคสมัยแห่งความก้าวหน้า ซึ่งเป็นคำปาฐกถาที่มีสารัตถะน่าสนใจอย่างมาก โดยมีข้อความดังนี้
“ปาฐกถาพิเศษในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน” “อดีต 50 ปีมั่นคงสู่อนาคต 50 ปีก้าวหน้า” โดย นายอลงกรณ์ พลบุตรประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ อดีตรัฐมนตรีและสส.หลายสมัยณ โรงแรมแชงการิล่า กรุงปักกิ่งการมองย้อนกลับไป: 50 ปีแห่งความมั่นคง

“วันนี้เรามารวมกันเพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 โดย ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น และนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของจีน ความสัมพันธ์ของเราได้ก้าวพ้นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านอุปสรรคนานัปการจนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปึกแผ่นและมั่นคงโดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมเสมือนมรดกที่หยั่งรากล้ำลึกจากอดีตสู่พลังสร้างสรรค์อนาคต
ไทยและจีนมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันยาวนานซึ่งปรากฏหลักฐานชัดเจนตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยที่ได้มีการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีเครื่องปั้นดินเผาจากจีน และในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการแปลวรรณคดีจีนสำคัญๆ เป็นภาษาไทยมากถึง 35 เรื่อง เช่น สามก๊ก ไซฮั่น และ เลียดก๊ก ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยอย่างแยกไม่ออก
ในช่วงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ 3 มีการสร้างวัดด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนอย่างแพร่หลาย และสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้สร้างพระที่นั่งรูปแบบจีนที่พระราชวังบางปะอิน สะท้อนถึงการยอมรับและบูรณาการองค์ประกอบทางวัฒนธรรมจีนไว้ในวิถีชีวิตของไทยพระบรมวงศานุวงศ์ไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงสนพระทัยในภาษา วัฒนธรรรม และประวัติศาสตร์ของจีน และได้เสด็จเยือนประเทศจีนครบทุกมณฑล นับเป็นแบบอย่างที่ดีของการศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศที่มีระบบสังคมการเมืองต่างกัน แม้ในช่วงสงครามเย็นที่การติดต่อทางการทูตหยุดชะงักไปชั่วขณะ แต่ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและสายสัมพันธ์“ไทย-จีนใช่อื่นไกลคือพี่น้องกัน”ของประชาชนไม่เคยขาดหาย และหลังจากสถาปนาความสัมพันธ์แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็สามารถสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจร่วมกันได้สำเร็จความร่วมมือในปัจจุบัน: ความสำเร็จที่จับต้องได้ปัจจุบันความร่วมมือไทย-จีนครอบคลุมมิติต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เทคโนโลยีและวัฒนธรรมซึ่งเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน
1.ด้านเศรษฐกิจการค้าจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนสูงถึง 94,919.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.39 ล้านล้านบาท และขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.2% จากปีก่อนหน้า โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยได้แก่ ผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียน สินค้าเกษตร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
2.ด้านการลงทุน จีนเป็นประเทศที่ลงทุนโดยตรงในไทย(FDI :Foreign Direct Investment)มากที่สุดเป็นอันดับ 1โดยในปี 2567 มีโครงการลงทุนจากจีนที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 554 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 116.4% จากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 114,067 ล้านบาท ขยายตัว 18.2% คาดว่าปีนี้ตัวเลขลงทุนจะทะลุ 140,000ล้านบาทการลงทุนมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมใหม่เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานใหม่ และอุตสาหกรรมสมัยใหม่

3. ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีนคือสายธารที่ไหลมาอย่างต่อเนื่องนับพันปี จากอดีตที่ทั้งสองชาติเรียนรู้และปรับใช้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน สู่ปัจจุบันที่ความร่วมมือทางวัฒนธรรมได้รับการส่งเสริมในทุกระดับรวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของเรามองไปข้างหน้า: 50 ปีแห่งความก้าวหน้าในอีก 50 ปีข้างหน้า ความท้าทายสำคัญคือการรักษาคุณค่าดั้งเดิมของวัฒนธรรมทั้งสองไว้ สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของทั้งสองชาติในศตวรรษที่ 21 จากรากฐานที่มั่นคงในอดีต พร้อมกับเปิดรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์มิตรภาพและอนาคตที่มั่งคั่งและยั่งยืนร่วมกันเช่น ความร่วมมือในด้านการจัดการพลังงานและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)ตอบโจทย์โลกเดือด(Global Boiling)จะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกันซึ่งเป็นผลดีต่อโลกโดยรวมด้วยขณะเดียวกันมีความร่วมมือด้านอื่นๆที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์แห่งอนาคตของ2ประเทศ เช่นความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์(Ai)สู่การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่(Data Center) ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์(AI Center)การวิจัยและพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) และระบบคลาวด์ (Cloud System) ขนาดใหญ่ร่วมกัน เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ควรขยายความร่วมมือด้าน Telemedicine และ HealthTech ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดการโรคไม่ติดต่อ การใช้ AI ในการดูแลป้องกันและการรักษาเฉพาะบุคคล ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรมเวชศาสตร์อายุวัฒน์ (Longevity) การท่องเที่ยวสุขภาพ (Health Tourism) และการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร (Herbal Wellness) โดยผสมผสานภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยสมุนไพรไทยกับแพทย์แผนจีน
ประการสำคัญคือการขับเคลื่อนการอัพเกรดอุตสาหกรรมสีเขียวผ่านการวิจัยและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ร่วมกัน เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotic Technology) ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System - ESS) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ (New EV) อากาศยานไร้คนขับ (UAV) เทคโนโลยีขั้นสูงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (High-tech Defence Industry)และที่จะลืมไม่ได้คือการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น แฟชั่น การออกแบบ และดิจิทัลคอนเทนต์

ตลอดจนความร่วมมือด้านโลจิสติกส์บนเส้นทางรถไฟ จีน-ลาว-ไทยซึ่งเป็นเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 สู่ตลาดโลกนับเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคใหม่ ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงสามประเทศเข้าด้วยกัน แต่ยังเป็น "สะพานทอง" (Golden Landbridge)ที่สำคัญในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากไทย อาเซียนสู่จีน ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง แอฟริกาและยุโรปทำให้ไทยเป็น "ศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางราง" (Rail Logistics Hub) ของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริงตัวอย่างที่เริ่มแล้วคือขบวนรถไฟบรรทุกข้าวสารจากประเทศไทยไปเขตอุตสาหกรรมฉงชิ่งบนเส้นทางรถไฟไทยลาวจีนเป็นขบวนแรกในปี 2563นี่คือการเปิดประตูอีสาน(อีสานเกทเวย์-ISAN Gateway)ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจาก“landlocked ”เป็น“Landlink”แล้วอีสานจะเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าโดยเฉพาะ "สินค้าแปรรูปเกษตรและปศุสัตว์" ซึ่งเป็นจุดแข็งของพื้นที่รวมถึงสินค้าอื่นๆและการท่องเที่ยวและที่สำคัญไม่แพ้กันคือความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งความร่วมมือในด้าน FarmTechและFoodTech จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตร อดีต 50 ปีมั่นคงสู่อนาคต 50 ปีก้าวหน้าห้าทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ไทย-จีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการทำความรู้จักกันในเบื้องต้น ได้พัฒนาสู่ความเป็น หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นร่วมกันที่จะสร้าง ประชาคมที่ปลอดภัย มั่งคั่ง และยั่งยืน ความสำเร็จเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการทุ่มเทของผู้นำและประชาชนทั้งสองประเทศตลอดหลายยุคสมัยหลายสมัย ด้วยรากฐานที่มั่นคงในอดีตและความร่วมมือที่เข้มแข็งในปัจจุบัน ผมเชื่อมั่นว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ความสัมพันธ์ไทย-จีนจะก้าวไปสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองที่ยั่งยืนยิ่งกว่าเดิม เราจะร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและมั่นคงให้กับลูกหลานของเราทุกคนขอให้ความสัมพันธ์ไทย-จีนยืนยงตลอดไป.