ศาลอาญายกฟ้อง “เจ๊แมว” ฟ้องหมิ่น “อนุทิน” ปมถูกเรียกกักขฬะ ชี้พูดโดยสุจริตเพื่อแก้ข่าว เจ้าตัวเตรียมอุทธรณ์ต่อ
วันที่ 20 ต.ค.68 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลได้อ่านคำสั่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ.1418/2568 ซึ่ง นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท หรือ “เจ๊แมว” อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี (ในขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) เป็นจำเลย ในความผิดฐาน หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ทั้งนี้ที่มาของคดีนี้มีต้นเหตุมาจากเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิกโดยมิชอบต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อให้ กกต.พิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคภูมิใจไทยและโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความตั้งใจในการยื่นเรื่องดังกล่าวต่อ กกต.แล้ว จำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ที่นำเข้าไต่สวนมูลฟ้องประกอบคำแถลงของจำเลยแล้วเห็นว่าโจทก์ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต.เพื่อให้ กกต.พิจารณายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคภูมิใจไทยและให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีที่โจทก์เห็นว่าการกระทำของพรรคภูมิใจไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รวมถึงกรรมการบริหารพรรค และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กระทำการอันขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก โดยโจทก์ให้สัมภาษณ์ก่อนเกิดเหตุหลายครั้งและวันเกิดเหตุด้วยซึ่งข้อเท็จจริงตามคำสัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของโจทก์ยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาจาก กกต.ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานอันควรยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ และเป็นการกล่าวถึงจำเลยโดยตรงจำเลยจึงเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของจำเลยที่กล่าวถึงลักษณะพฤติกรรมของโจทก์ จึงเป็นคำที่จำเลยโต้ตอบโจทก์เพื่อให้ผู้ที่รู้เห็นเข้าใจว่าโจทก์เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมแก้ข่าวที่โจทก์ให้สัมภาษณ์อันเป็นการป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ฟ้องโจทก์ไม่มีมูลว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังคำสั่งศาล นางกุสุมาลวตีให้สัมภาษณ์ว่า เคารพดุลพินิจของศาล แต่ยังติดใจในถ้อยคำ “กักขฬะ” ที่นายอนุทินกล่าวถึง โดยเห็นว่าเป็นคำที่มีความหมายในเชิงหยาบคาย ไม่ใช่ “พื้นดินขรุขระ” ตามที่ฝ่ายจำเลยให้การ
“ดิฉันมองว่าคำพูดนี้เป็นถ้อยคำที่ดูหมิ่น มีความเถื่อน จึงจะหารือกับทนายความเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อไป” นางกุสุมาลวตีกล่าว