เตี่ยของเมฆ
ผมเรียกบิดาบังเกิดเกล้าว่า “พ่อ” ส่วนพ่อผมเรียกปู่ว่า “เตี่ย” และผมเรียกปู่ที่เฝ้าศาลเจ้าหลักเมืองว่า “อาก่ง” เรียกสาแหรกฝ่ายพ่อตามที่คนเชื้อจีนเต้จิ๋วเรียกลุงป้าและอาว่า “อาเตี๋ย–อาแปะ–อาโกและอาอี๋” ตามลำดับ ส่วนพี่ๆ ก็เรียกพี่เฮียหรือเจ๊ตามถนัดปาก
อาก่งพร้อมพี่น้องจากแผ่นดินใหญ่โพ้นทะเลซัวเถา เป็นคนกลุ่มเต้จิ๋วที่มาสยามประเทศไทย พี่น้องส่วนใหญ่อยู่ภาคกลาง มีอาก่งที่เร่รอนแรมมาตามทางรถไฟกับกุลีจับกัง เสี่ยงโชคจากบางกอกเส้นทางรถไฟ มาถีบสามล้อที่โคราชจนถึงสุรินทร์ และเริ่มรับจ้างอยู่อำเภอศีขรภูมิ จนมีคนแนะนำให้รู้จักอาม่า สาวเชื้อสายกวยบ้านนานวน อำเภอสนม แล้วแต่งงานใช้ชีวิตคู่จนมีลูกชายสามคน ลูกสาวสี่คน รวมเป็นเจ็ดคน
อาก่งปรับเปลี่ยนบ้านเป็นร้านค้าขายในหมู่บ้าน เป็นที่รู้จักในท้องถิ่นตำบลเล็กๆ อาม่ามีที่ดินทำนาพอสมควร (แต่ผมไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์ส่วนแบ่งของพ่อที่ควรได้ตามกฎหมาย เพราะคิดว่านั่นคือทรัพย์ที่ไม่ควรได้ เนื่องจากผมเบนเข็มชีวิตมาอยู่วัด หลังพ่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในการเดินทางอาสาไปจ้างคณะหมอลำให้สวนสัตว์จังหวัดจันทบุรีตามคำขอของญาติ) เป็นครอบครัวเชื้อสายจีนที่ทำการค้าขายในชุมชน ทำให้คนรอบๆ หมู่บ้านไม่ต้องไปซื้อของในตลาดอำเภอ
อาก่งมีม้าเป็นพาหนะเดินทางลากของไปซื้อตามตลาดมาค้าขายในหมู่บ้าน จนขายม้าและกลายเป็นบ้านแรกในตำบลที่มีจักรยานใช้ แถมมีเงินเหลือเก็บ พ่อโกรธอาก่งที่ขายม้าไปแลกจักรยาน เพราะเสียดายม้าตัวนั้นและไม่รู้ว่าสิ่งที่แลกมานามว่า “จักรยาน” ไม่ต้องให้หญ้าเหมือนสัตว์ เพียงเติมลมก็ขี่ไปไหนมาไหนสะดวกโยธิน
อาก่งมาอยู่ในตัวเมืองหลังจากที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุรินทร์สร้างเสร็จ มีการเลือกตั้งผู้ควบคุมดูแล ผลคือเสี่ยสอง ศรีสุรินทร์ ได้รับเลือกตั้ง จึงเลือกอาก่งให้เป็นผู้ดูแลทุกอย่างในศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ส่วนอาม่าและอาโกโทน พี่สาวคนโตของพ่อ มีแผงขายของในตลาดสดเทศบาลเมืองสุรินทร์ อาก่งพักอาศัยกินนอนอยู่ศาลเจ้า มีหลานๆ ไปอยู่ด้วยเพื่อเรียนหนังสือจนถึงรุ่นผม ส่วนอาม่าเช่าบ้านผู้ใหญ่สรศักดิ์ กองสุข (พ่อลุงป๋อง–บำรุงศักดิ์ และลุงอิง–เข็มรัตน์ กองสุข ช่างพุทธศิลป์–ศิลปินแห่งชาติ) ก่อนจะย้ายมาอยู่ในซอยวัดบูรพาราม สุรินทร์
ผมจึงมั่งคั่งทางอาหารการกิน ไม่ว่าเป็นของไหว้ที่มีให้แบ่งปันเพื่อนๆ ได้สบาย และแวะเวียนมาวิ่งเล่นแทบทุกวัน เพราะมีลานกว้างให้วิ่งเล่น มีต้นมะม่วงต้นลำไยให้ปีน อ่านคำเสี่ยงทายใบเซียมซีซึมซับภาษาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะวันหยุดอาก่งมักทำอาหารให้ผมและเพื่อนๆ กินกันอิ่มหนำสำราญ และรู้สึกว่าอาหารจีนที่อร่อยที่สุดก็คือฝีมืออาก่งนี่แหละ
ชีวิตที่สุรินทร์ผมเริ่มต้นที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กินนอนอยู่ที่นั่น จนพ่อเปลี่ยนวิถีชีวิตจากเด็กที่ออกจากบ้านมาตามหาความฝันอยากเป็นนักร้องลูกทุ่ง ติดรถฉายหนังมาอยู่บางกอกจนเจอแม่และมีผม ได้เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนปนิตา แถวสี่แยกบ้านแขก จนเข้าป.1 ที่โรงเรียนประวิตรศึกษา (ปัจจุบันทั้งสองแห่งปิดไปแล้ว) เตรียมขึ้นป.2 อาอี๋พาผมไปเที่ยวบ้านพ่อ แล้วเข้าเรียนป.2 ที่นั่น อาศัยอยู่กับอาโกโทนพร้อมพี่ๆ เรียนได้ไม่นาน พ่อกับแม่มารับไปร้อยเอ็ด ไปอยู่บ้านตา เรียนป.2 ได้ไม่นานต้องลดชั้นมาเรียนป.1 อยู่บ้านเพ็กร้อยเอ็ดสองปีกว่า แล้วจึงย้ายมาอยู่กับอาก่งที่สุรินทร์
พ่อกลับมาอยู่สุรินทร์เพื่อดูแลอาก่งที่อายุเริ่มมาก ผมกินนอนอยู่ในศาลหลักเมืองนาน ที่นั่นมีการแก้บนลิเก–เจรียงและรำแก้บนบ่อย ได้ดูได้เห็นเล่นกับเพื่อนๆ สมมติตามท้องเรื่องประสาเด็ก ไม่มีทีวีดู ต้องอาศัยทีวีบ้านอาจารย์ลุ้นโรม–บังอร หรือร้านก๋วยเตี๋ยวน้าหนู หรือบ้านยายเฮี่ยง แม่ค้ากล้วยปิ้งที่รับทำความสะอาดศาลเจ้า หลายครั้งอยู่กันสองคนกับอาก่ง บ้านพักเล็กๆ มีสองห้อง เมื่อแปะกิมกลับไปอยู่กรุง กลางดึกบางคืนอาก่งมักโดนโจรปีนข้ามกำแพงมาขโมยของ แม้ไม่บ่อยแต่ก็จนต้องย้ายมาอยู่บ้านอาม่าในซอยวัดบูรพาราม เช้าไปเปิดศาลเจ้าด้วยสามล้อ เย็นปิดกลับบ้าน ปลอดภัยจากโจรเจ้าประจำ
พ่อหันเหกลับมาอยู่สุรินทร์เพื่อดูแลอาก่ง ส่วนมากเตรียมเกษียณจากแม่ค้าตลาดกลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านนานวน เข้าวัดอย่างเต็มที่ ซึ่งปกติอาม่าก็เป็นหัวขบวนชักชวนคนทำบุญ ถือกรรมฐาน ชีวิตในสุรินทร์นอกจากศาลเจ้า ก็ไปตลาดกับอาม่า ไปวัดต่างๆ จนคุ้นเคยทุกวัด ผูกพันพิเศษกับวัดบูรพาราม เพราะอาแปะบวชเป็นพระอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จนลาสิกขาไปทำงานมีครอบครัว
คล้อยหลังพ่อกลับมาอยู่สุรินทร์ แม่ก็ตามมาอยู่ อาจมีไปกรุงเทพฯ บ้าง ชีวิตเริ่มมีความรู้ว่าครอบครัวคืออะไรช่วงป.5–6 ถึงมัธยมต้น ช่วงที่พ่อแม่มาอยู่ด้วย ได้กินข้าวเย็นพร้อมหน้า งานทำกินที่ศาลเจ้าปูเสือรวมวง เพราะห้องพักคับแคบ ส่วนใหญ่กินที่บ้านมากกว่า ญาติฝ่ายพ่อกลับสุรินทร์ก็แวะเยี่ยมอาก่งก่อนกลับบ้านนานวน ญาติฝ่ายแม่ก็มาเยี่ยมบ้างและอาศัยอยู่เรียนหนังสือ
ชีวิตพ่อก็เรียบง่าย เช้าไปตลาด ถวายจังหันที่วัด แล้วเปิดศาลเจ้า ใกล้เพลก็กลับวัดจัดเพลกินข้าว เย็นปิดศาลเจ้าแล้วแวะวัดอีกตามเคย บางครั้งก็ติดตามหลวงพ่อไปงานนิมนต์ พาผมไปด้วยเสมอ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ทุกวันจนถึงวันจากลาอย่างนิรันดร์
หยิบหนังสือ “เตี่ยของเมฆ” ผลงานนิยายเล่มล่าสุดของ “จิตประภัสสร” หรือคุณยุ้ย (ญาติเยอะ) แห่งสมาคมนักเขียนฯ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาสน์ มาอ่านแล้วทำให้หวนนึกถึงนิยามคำว่า “เตี่ย” กับ “พ่อ” ในรอยความทรงจำโมงยามวันที่พ่อยังมีชีวิต ถึงแม้จะมาเข้าฝันอยู่บ้างในบางที
ลองไปหามาอ่านกันนะครับ นิยายเล่มไม่หนา อ่านง่าย สบายใจ อบอุ่นหัวใจด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความเงียบทำงานผ่านอักษร ตัวละครเคลื่อนไหวราวกับพ่อหรือเตี่ยไม่ได้ไปไหน ยังมีชีวิตในใจเราเสมอ เพราะความผูกพันและความรักเป็นต้นทุน แม้ท้องฟ้าจะงดงาม แต่บางครั้งก็มีเมฆหมอกมาบัง — ยินดีกับผลงานเล่มใหม่ของมิตรน้ำหมึก
ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต
#เตี่ยของเมฆ #จิตประภัสสร #ชินวัฒน์ตั้งสุทธิจิต #วรรณกรรมไทย #ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุรินทร์