ปัญหาคุณภาพชีวิตของครูไทย โดยเฉพาะเรื่อง "หนี้สิน" ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว แต่มันกลายเป็น "วิกฤตเชิงระบบ" ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษาของชาติมานานหลายทศวรรษ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จึงได้ประกาศให้ภารกิจการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตครูเป็นวาระเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายหลักคือการ "ลดภาระที่ไม่จำเป็น" และ "แก้ไขปัญหาทางการเงิน" เพื่อให้ครูสามารถทุ่มเทให้กับการสอนได้อย่างเต็มที่
เชื่อว่าหลายคนที่อยู่ในช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป คงได้เห็นภาพสะท้อนชีวิตครูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะทราบดีว่าอาชีพครูที่เคยเป็นที่พึ่งทางสังคมและมีฐานะที่น่าเชื่อถือ มีหน้าที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งเข้าสู่สังคม ได้เผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ จนหลายคนต้องพึ่งพาสินเชื่อเพื่อการดำรงชีพ ที่สุดก็ติดบ่วงหนี้สินจนกระทบต่อการทำงาน
จุดเน้นสำคัญในการแก้หนี้สินต้องเป็นมากกว่าแค่ "การปรับโครงสร้าง"
หัวใจของการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตครู คือการจัดการกับหนี้สินที่ท่วมท้น ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงถึง กว่า 1.4 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ ปี 2568) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่กู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์
1.การตั้ง "สหกรณ์กลางครู" ศูนย์จัดการหนี้ดอกเบี้ยต่ำ ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ตัวแทนข้าราชการครูบำนาญจาก 9 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ยื่นข้อเสนอพร้อมรายชื่อสนับสนุนถึง 1,665 รายชื่อ ต่อ ศธ. เพื่อเร่งให้มีการจัดตั้ง "สหกรณ์กลางครู" ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการหนี้สินครูด้วย อัตราดอกเบี้ยต่ำ ข้อเสนอนี้สะท้อนความต้องการของครูที่ต้องการกลไกที่เป็นธรรมและยั่งยืนในการแก้หนี้สินเกินศักยภาพ
นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และศูนย์ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูฯ (ศนค.) ได้รับข้อเสนอดังกล่าวและยืนยันว่า ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้เร่งดำเนินการจัดตั้งสหกรณ์กลางโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่ เพราะ "ครูคือหัวใจของ สพฐ."
2. มาตรการเชิงรุกสำหรับครูเปราะบางและครูบำนาญ ในการประชุมรับฟังปัญหา ยังได้มีการเน้นย้ำถึงมาตรการเชิงปฏิบัติการที่สำคัญ คือ การกำกับดูแลการหักเงินบำนาญ: มีการมอบหมายให้ สพฐ. โดย ศนค. เร่งรัดการจัดลำดับการหักเงินบำนาญเพื่อชำระหนี้รายเดือนตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค 0420.1/ว285 เพื่อความเป็นระเบียบและเป็นธรรม การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง: การให้ความช่วยเหลือครูในกลุ่มเปราะบางตามกฎกระทรวงฯ ว่าด้วยการนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงิน พ.ศ. 2554 ซึ่งมาตรการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อครูบำนาญที่ยังคงมีภาระหนี้สิน ร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรม: ข้อเสนอที่น่าสนใจคือการให้ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด เข้ามาร่วมดำเนินการไกล่เกลี่ยหนี้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความยั่งยืน และยุติข้อพิพาททางกฎหมายได้ ซึ่ง สถิติที่น่าสนใจ: เป้าหมายของ ศธ. คือการทำให้ครูมีเงินเดือนเหลือหลังหักชำระหนี้แล้ว ไม่น้อยกว่า 30% หรืออย่างต่ำ 9,000 บาท ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่สะท้อนถึงศักดิ์ศรีของอาชีพ หากทำได้จริง จะเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันได้อย่างมหาศาล
3.นโยบายลดภาระครูที่ไม่ใช่การสอน นอกจากเรื่องเงินแล้ว ภาระงาน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน เช่น งานเอกสาร งานธุรการ งานพัสดุ หรืองานกิจกรรมที่ไม่จำเป็น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บั่นทอนขวัญและกำลังใจของครู การที่ ศธ. มีนโยบาย "ลดภาระครู" จึงเป็นการ "ซื้อเวลา" ให้ครูกลับไปมีเวลาเตรียมการสอนและดูแลนักเรียนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนี่คือการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ยั่งยืนที่สุด
การยกระดับ "สวัสดิการ" และ "ความก้าวหน้า"
การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตครูไม่ได้หยุดอยู่แค่การแก้หนี้ แต่ยังรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและน่าอยู่ บ้านพักครู ศธ.ได้ประกาศแผนการดูแลและปรับปรุง บ้านพักครู กว่า 41,000 หลังทั่วประเทศ เพื่อให้ครูที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ห่างไกลมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและเหมาะสม ซึ่งเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ควรมี ช่องทางความก้าวหน้า มีการปรับปรุงและส่งเสริมการเข้าสู่ วิทยฐานะ ให้มีความคล่องตัวและเป็นธรรมมากขึ้น เพื่อเป็นแรงจูงใจและสร้างความมั่นคงในอาชีพสำหรับครูรุ่นใหม่และครูที่ต้องการเติบโต
ความสำเร็จในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตครูไม่ได้วัดเพียงจำนวนหนี้ที่ลดลง แต่ต้องวัดจาก "ความสุข" และ "ความทุ่มเท" ที่ครูสามารถกลับมามอบให้กับห้องเรียนได้ เมื่อครูมีความมั่นคงในชีวิต มีขวัญและกำลังใจที่ดี ก็จะสามารถสร้างสรรค์การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียน "เรียนดี มีความสุข" ได้อย่างแท้จริง ภารกิจนี้จึงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเอง เพื่อให้วิชาชีพ "แม่พิมพ์ของชาติ" ได้รับการยกย่องและมีศักดิ์ศรีสมกับความสำคัญของภาระหน้าที่