การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ต่อการดำเนินงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) โดยเน้นย้ำถึงอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ เหนือข้อตกลงพหุภาคี ส่งผลให้เกิดการลดบทบาทและความร่วมมือในระดับโลกอย่างชัดเจน
หนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญและส่งผลกระทบวงกว้างคือการที่สหรัฐฯ ถอนตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งจาก “ข้อตกลงปารีส” ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกระทำนี้บั่นทอนความน่าเชื่อถือและความพยายามร่วมกันของ UN ในการจำกัดอุณหภูมิโลกตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสร้างความไม่แน่นอนต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมโลก
เช่นเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ยืนยันการถอนตัวจาก “องค์การอนามัยโลก” (WHO) และระงับเงินทุนสนับสนุน ซึ่งมีผลในปี 2568 การตัดสินใจนี้สร้างช่องว่างทางการเงินและความเป็นผู้นำอย่างเร่งด่วนในประเด็นสาธารณสุขโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังคงใช้นโยบายการค้าที่เน้นชาตินิยม เช่น การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราสูงต่อประเทศคู่ค้า ซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก การกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบโดยอ้อม เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของ UN โดยเฉพาะในมิติของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
การลดบทบาทและการตัดเงินทุนสนับสนุนเหล่านี้ ทำให้ UN ต้องเผชิญกับวิกฤตด้านงบประมาณและอำนาจการต่อรอง เลขาธิการ UN จึงต้องเร่งเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกที่เหลือเพิ่มความมุ่งมั่นและความร่วมมือ เพื่อรักษาเสถียรภาพและขับเคลื่อน “ข้อตกลงเพื่ออนาคต” ให้สำเร็จ
ในขณะเดียวกัน การถอยของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้ประเทศอื่น เช่น จีนและรัสเซีย เข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในองค์กรต่าง ๆ ของ UN มากขึ้น ส่งผลให้สมดุลอำนาจภายใน UN เปลี่ยนไป ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ทำให้ UN ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อดำรงไว้ซึ่งบทบาทในการรักษาระเบียบโลก
โดยวันที่ 24 ตุลาคม 2568 นี้ UN มีอายุครบ 80 ปี
#UN80ปี #โดนัลด์ทรัมป์ #ข้อตกลงปารีส #องค์การสหประชาชาติ #ความยั่งยืนโลก #SDGs








