ในที่สุด “รูเบน อโมริม” ก็เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังใช้เวลาเพียง 11 เดือน ก็สามารถพาทีมบุกคว้าชัยเหนือคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ลิเวอร์พูล” ถึงถิ่นแอนฟิลด์ 2-1 ซึ่งถือเป็นชัยชนะนัดเยือนครั้งแรกของปีศาจแดงในพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2016
ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่สถิติ แต่คือ “การประกาศศักดา” ว่ายุคของอโมริมได้เริ่มต้นอย่างแท้จริง
ในเกมศึกแดงเดือด ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อคืนวันที่ 19 ต.ค.68 แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กลายเป็นฮีโร่ของเกมนี้ หลังโหม่งประตูชัยจากลูกวอลเลย์สุดสวยของบรูโน่ แฟร์นันเดส ลูกที่เหมือนลอยค้างกลางอากาศนั้น ทำให้แฟนหงส์แดงทั้งสนามถึงกับเงียบงันเพียงไม่กี่นาทีหลังโคดี้ กั๊กโป ยิงตีเสมอให้เจ้าบ้าน
นั่นคือช่วงเวลาแห่งการไถ่บาปของ แม็กไกวร์ หลังเคยพลาดโอกาสทองที่จะคว้าชัยในเกมเดียวกันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทว่าครั้งนี้ เขาและอโมริมเขียนบทใหม่ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและจังหวะที่ลงตัว
* “แท็กติกของอโมริม” พลิกเกมด้วยเหตุผลและวินัย
ความเฉียบของรูเบน อโมริม ไม่ได้อยู่ที่ระบบการเล่นใหม่ ๆ หากแต่อยู่ที่ “การจัดวางคนให้เหมาะกับงาน”
เขาเลือกส่ง เมสัน เมาท์ ลงแทนเบนจามิน เซสโก้ เพื่อให้ทีมเล่นบอลบนพื้น หลีกเลี่ยงการปะทะกับเวอร์จิล ฟาน ไดค์ และใช้การเคลื่อนบอลรวดเร็วเข้าทำผ่านพื้นที่ระหว่างไลน์กองกลางและแนวรับของลิเวอร์พูล
บรูโน่ แฟร์นันเดส และคาเซมิโร่ คุมจังหวะในแดนกลางได้ยอดเยี่ยม ส่วนแนวรับห้าคนของอโมริม ยืนหยัดรับแรงกดดันได้อย่างมีวินัย ซึ่งทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า “แมนฯ ยูไนเต็ด” กำลังเล่นฟุตบอลด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ความหวัง
* “ชัยชนะที่มากกว่าสามแต้ม” และผลทางจิตวิทยา
แม้จะเป็นแค่สามคะแนน แต่ชัยชนะนี้เปลี่ยนบรรยากาศทั้งสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ดขยับตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อันดับสองเพียงสามแต้ม และห่างจากลิเวอร์พูลเพียงสองคะแนน
อโมริมเก็บชัยในพรีเมียร์ลีกสองนัดติดต่อกัน ซึ่งไม่เพียงทำให้ทีมดูมั่นใจขึ้น แต่ยังเป็นสัญญาณว่า “ความต่อเนื่อง” ที่แฟนผีรอคอยมานานกำลังเกิดขึ้นจริง
* “ลิเวอร์พูล” ในวันที่ไร้โครงสร้าง
ฝั่งลิเวอร์พูลของอาร์เน่ สล็อท กลับดูสับสน ขาดจังหวะและสมดุลตั้งแต่ต้นเกม แม้จะพยายามเร่งจังหวะหลังส่งผู้เล่นสามคนลงพร้อมกันในนาทีที่ 60 แต่การเปลี่ยนแผนเป็น 4-2-4 กลับทำให้แนวกลางเปิดกว้างมากขึ้น
อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และโดมินิก โซบอสซ์ไล เชื่อมเกมได้ยาก ขณะที่ไรอัน กราเวนเบิร์ช ต้องรับภาระในพื้นที่กว้างจนถูกแมนฯ ยูไนเต็ดฉกบอลสวนกลับหลายครั้ง
แม้โคดี้ กั๊กโป จะยิงตีเสมอได้ แต่เกมรุกของลิเวอร์พูลกลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อพวกเขาบุกหนักจนเสียการควบคุมเกมไปเอง
* “การรุกเร็วของสล็อท” คือหายนะ
อาร์เน่ สล็อท เดิมพันด้วยการบุกเต็มสูบ และสุดท้ายต้องจ่ายราคาแพง การเปิดพื้นที่ด้านหลังให้แมนฯ ยูไนเต็ดเล่นสวนกลับคือจุดตาย แม็กไกวร์ได้โอกาสทองจากจังหวะโต้กลับเร็ว ซึ่งเป็นผลจากความผิดพลาดเชิงแท็กติกของลิเวอร์พูลเอง
“เราสร้างโอกาสมากมาย แต่สุดท้ายเราก็แพ้” เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กล่าวหลังเกมอย่างผิดหวัง พร้อมย้ำว่า “สิ่งสำคัญคือเราต้องกลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด”
* “สัญญาณอันตรายของลิเวอร์พูล” และ “ความหวังของอโมริม”
นี่คือการแพ้ 4 นัดติดต่อกันในทุกรายการของลิเวอร์พูล ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 แถมเกมรุกที่เคยเฉียบคมกลับดูฝืดลงอย่างเห็นได้ชัด ซาลาห์ยิงไม่ได้จากโอเพ่นเพลย์ 7 นัดติด ขณะที่ผู้เล่นใหม่อย่างฟลอเรียน เวิร์ตซ์ และฮูโก้ เอกิติเก ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้
สำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด ทุกอย่างกลับดูสดใสขึ้นทันตา เกมต่อไปกับไบรท์ตันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดซึ่งเคยเป็นของแสลง ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
สำหรับรูเบน อโมริม ชัยชนะนี้คือหมุดหมายสำคัญในเส้นทางการสร้าง “ปีศาจแดงยุคใหม่” ที่เริ่มต้นจากวินัย แท็กติก และความเชื่อมั่น ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาครองความยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกครั้ง
#วิเคราะห์หลังเกม #วิเคราะห์หลังเกมลิเวอร์พูลพบแมนยู #ลิเวอร์พูลพบแมนยู #แมนยู #ลิเวอร์พูล #แดงเดือด #พรีเมียร์ลีก #RubénAmorim #LiverpoolvsManUtd #ฟุตบอลอังกฤษ #MUFC #LFC