ทวี สุรฤทธิกุล
บางทีความโลภก็ทำให้เกิดอวิชชา นักการเมืองที่ว่าฉลาดนักหนา ก็อาจจะตายน้ำตื้นเพียงแค่ “โลภจนเกินงาม”
ผู้เขียนเป็นคนที่มีความสนใจในวิชา “อนาคตศาสตร์” อย่างมากเป็นพิเศษ ในภาษาอังกฤษเรียกศาสตร์ชนิดนี้ว่า “Futurism” วิชานี้เป็นวิชาเกิดใหม่ คือเกิดเมื่อตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี่เอง แนวคิดหลักเน้นการยกย่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเชื่อว่าโลกอนาคตจะอยู่รอดและรุ่งเรืองก้าวหน้า รวมถึงชีวิตมนุษย์จะมีความสุขและ “อยู่ดีกินดี” ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหลายนั้น
หลายวันมานี้ ผู้เขียนลองหัดใช้แอปพลิเคชันเอไอ 2 ตัว คือ ChatGPT กับ Gemini เริ่มต้นก็ลองตั้งคำถามง่าย ๆ ให้แอปทั้งสองนี้ลองตอบ เช่น แกงเขียวหวานไก่ทำอย่างไรให้อร่อย ปรากฏว่าทั้งสองแอปให้รายละเอียดในวิธีการทำออกมาคล้าย ๆ กัน จากนั้นก็ถามคำถามยาก ๆ เช่น ให้พยากรณ์ผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แอปทั้งสองก็ไม่สามารถตอบได้ เพียงแต่อนุมานหรือคาดการณ์ไปหลาย ๆ ทาง ให้เราเลือกเชื่อเลือกคิดเอาเอง ตอนนี้กำลังลองให้แอปทั้งสองนี้วาดรูปหรือแต่งภาพ ซึ่งแอป Gemini จะทำได้เร็วและรับคำสั่งได้ดีกว่า กระนั้นก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง เช่น ถ้าเป็นรูปชาวนา ก็จะต้องสวมงอบแบบคนญวณทุกคนไป แต่พอจะให้ทำภาพเคลื่อนไหว ในแอปก็จะขึ้นข้อความให้อัพเกรดหรือเสียเงินเพิ่ม ซึ่งผู้เขียนยังไม่อยากฟุ่มเฟือยขนาดนั้น
นอกจากนี้ ผู้เขียนก็ชอบติดตามข่าวสารที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างเช่น เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า ถึงขั้นที่อยากจะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าในทันที แต่พออ่านมากขึ้นก็พบว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ส่วนใหญ่ใช้ตัวทำประจุด้วยของเหลวอาจจะล้าสมัย เพราะกำลังมีผู้ค้นคิดแบตเตอรี่ที่มีตัวทำประจุด้วยของแข็ง ที่มีชื่อว่า Solid State Battery ที่มีประจุไฟฟ้ามากกว่า ทนทานแข็งแรง และน้ำหนักเบากว่า ที่สำคัญมีอันตรายน้อยกว่ามาก เพราะไม่ติดไฟง่าย เพียงแต่ยังมีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่ที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนี้ เขาว่า(ตามข่าว)ภายในปีสองปีนี้ก็จะมีราคาใกล้เคียงหรือถูกกว่า ทำให้ผู้เขียนยังลังเล(ความจริงเงินบำนาญน่าจะไม่ทำให้ไฟแนนซ์เชื่อว่าจะดาวน์และผ่อนรายเดือนได้สบาย ๆ) จึงขอเก็บเอาไปคิดอีกสักระยะ
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของอนาคตศาสตร์นี้ก็มีความสนใจในเรื่องของ “สังคมผู้สูงวัย” โดยมองว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคมในประเทศต่าง ๆ ในอนาคต เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็กำลังพัฒนาเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ เพราะมองว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังบริโภคหลัก รวมถึงจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการทำให้เกิดการพัฒนาของธุรกิจต่าง ๆ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ ซึ่งในส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่าพวกเทคโนโลยีสำหรับ “อนุเคราะห์” หรือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงวัย น่าจะมีความจำเป็นมากที่สุด เป็นต้นว่า หุ่นยนต์เพื่อความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ แม้กระทั่ง “บำรุงจิตใจ” หรือสร้างความสุขความปลอดภัย และดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ก็น่าจะเกิดขึ้นเป็นจริงได้ ในราคาและค่าใช้จ่ายที่คนในฐานะทางเศรษฐกิจแบบนี้พอจ่ายได้ (คือส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานแล้ว ที่ดีหน่อยก็มีเงินเก็บหรือรายได้จากการออมและการลงทุนที่เคยทำไว้เท่านั้น)
อนาคตศาสตร์นี้ยังสามารถเชื่อมโยงไปในมิติอื่น ๆ ได้ด้วย อย่างที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ ก็คือในเรื่องของ “การเมือง” โดยผู้เขียนเชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารทางสังคม “โซเชียลมีเดีย” ในปัจจุบัน จะทำให้ “การเมืองสวยใส” หรือลดความเลวร้ายต่าง ๆ ลงไป อย่างน้อยก็ในเรื่องของการ “เปิดโปง” และ “ติดตาม” ให้เห็นถึงความเลวความชั่วของนักการเมืองทั้งหลาย จนในที่สุดก็จะจับเอาคนนักการเมืองที่ “เลว ๆ ชั่ว ๆ” เหล่านั้นมาลงโทษ หรือเพียงแค่เอามา “ประจาน” และ “ประณาม” ก็น่าจะลดจำนวนคนจำพวกนี้ให้เบาบางหรือสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ได้ในที่สุด
ขอเล่าเรื่อง “ชีวิตของนักการเมืองไทยคนหนึ่ง” สมมุติว่าชื่อ “โทนี่” ตามประวัติบอกว่า ต้นตระกูลของเขาเป็น”อั้งยี่” หรือแก๊งค์อาชญากรอยู่ในจังหวัดทางภาคตะวันออกของไทย แล้วขึ้นไปทำธุรกิจทางภาคเหนือ มีลูกหลานต่อมาทำธุรกิจผ้าพื้นเมือง แต่บางคนก็ไปเป็นนักการเมือง จนถึงรุ่นของโทนี่ พ่อแม่ส่งเสียให้เรียนถึงในต่างประเทศจนจบขั้นดอกเตอร์ พอกลับมาก็เข้ารับราชการเป็นตำรวจ พอเป็นผู้กองก็ได้ไปเป็นตำรวจติดตามนักการเมือง ต่อมาได้เห็นช่องทางที่จะทำมาหากินกับ “เทคโนโลยี” ด้วยการประมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับกรมตำรวจ จึงได้ลาออกมาทำธุรกิจ ร่ำรวยขึ้นมาเพราะธุรกิจโทรคมนาคม บุกเบิกการขายมือถือในระยะแรก ที่ขายโทรศัพท์มือถือกันเครื่องละหลายหมื่นจนถึงหลายแสน รวมถึงประมูลระบบโทรทัศน์แบบเคเบิ้ลทีวีและสัมปทานดาวเทียม จนได้กลายเป็นมหาเศรษฐี พอปี 2538 ก็มาประมูลพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง พอได้ร่วมรัฐบาลก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่ ที่ให้สื่อของตัวเองเขียนหนังสือชื่อว่า “ตาดูดาว เท้าติดดิน” เพื่อยกย่องว่าเขาเป็นผู้นำที่มองการณ์ไกลและยืนอยู่เคียงข้างประชาชน
โทนี่ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2543 ในปีต่อมาพรรคของเขาชนะเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากและได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จากนั้นได้ใช้นโยบายประชานิยมต่าง ๆ รวมทั้งที่กวาดต้อนเอา ส.ส.ของพรรคต่าง ๆ ให้เข้ามาสู่พรรคของเขา จนถึงการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2548 ก็ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ก็พังด้วยการขายหุ้นของตนให้กับต่างชาติโดยไม่เสียภาษี ต่อมาพรรคของเขาถูกยุบ ตามมาด้วยรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ กว่าจะได้กลับมาก็เมื่อปี 2567 ที่ลูกสาวตัวเองได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยสังคมไทยจำนวนหนึ่งก็หลงเชื่อว่าเขาคงจะกลับเนื้อกลับตัวหรือลดความเลวความชั่วลงไปได้บ้าง แต่พอเห็นเขายังเหิมเกริม ชนิดที่ “ก้าวล่วง” และ “ก้าวร้าว” ถึงขั้นที่คิด “ผลาญชาติ” ด้วยนโยบายการเปิดบ่อนคาสิโน และ”ขายชาติ” ด้วยการให้ลูกสาวแลกผลประโยชน์กับโจรเขมร คนไทยก็ยอมไม่ได้ แม้ว่าขณะนี้เขาจะยอมเข้าไปอยู่ในคุก แต่คนทั้งหลายก็ไม่เชื่ออีกแล้วว่า เขาจะกลับตัวเป็นคนดี และน่าจะออกมา “คิดบัญชี” กับคนที่ทำกับเขาไว้ โดยมีประเทศไทยและคนไทยเป็นผู้รับเคราะห์นั้น
น่าแปลกใจว่า คน ๆ นี้ “เจริญรุ่งเรือง” มาด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ แต่ก็มา “จบอนาคต” ด้วยเทคโนโลยีที่สร้างเขามานั่นเอง ทว่าที่น่าห่วงก็คือเมื่อเขาออกมาจากคุกและคิดจะมีอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง เขาอาจจะลืมไปแล้วว่า “โซเชียลมีเดีย” นี้จะกระพือขึ้นมากำจัดเขาได้อีก ทั้งหมดนี้น่าจะเกิดจากความโลภที่ปิดบังตาและถมจนเต็มสมอง คิดแต่อยากจะ “รวยที่สุด” และ “มีอำนาจมากที่สุด” เพียงเท่านั้น
คนที่ “อยากไม่สิ้นสุด” ก็ไม่ต่างอะไรกับ “สัตว์ร้ายสุดโง่และเสียสติ” ที่คิดเลวคิดชั่วอยู่ตลอดชีวิต !