ข่าวลือเรื่อง “ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ส่งรายชื่อ 7 นักการเมืองไทย” ที่พัวพันกับขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชา อาจไม่มีมูลทางการทูต แต่กลับกลายเป็นไฟลามทุ่งทางการเมืองในชั่วข้ามคืน เพราะกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน และยังต้องพิสูจน์ให้สังคมเชื่อว่า “รัฐบาลนี้ไม่ปกป้องคนผิด”
แม้รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่เคยแถลงหรือส่งข้อมูลรายชื่อดังกล่าวต่อไทย มีเพียงการหารือระหว่างผู้นำสองประเทศเรื่องความร่วมมือปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ แต่กระแสข่าวที่แพร่สะพัดผ่านโซเชียลและสื่อออนไลน์กลับแรงพอที่จะสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับรัฐบาลอนุทิน เพราะประชาชนจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมไทยถึงนิ่ง” ทั้งที่ประเทศอื่นอย่างเกาหลีใต้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สืบสวนในกัมพูชาอย่างเข้มข้น
เมื่อฝ่ายค้านได้กลิ่นคาวทางการเมือง ผู้ที่ออกมาขับเคลื่อนก่อนใครคือ “รังสิมันต์ โรม” ส.ส. พรรคประชาชน ด้วยการใช้เวทีสภาเปิดฉากโจมตีรัฐบาลโดยตรง ชี้ว่าท่าทีของนายอนุทินต่อปัญหาแก๊งสแกมเมอร์และทุนเทายังล่าช้าและขาดความจริงใจ พร้อมอ้างข้อมูลจากสื่อต่างประเทศและหน่วยงานสอบสวนบางแห่งที่ระบุว่า เครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชาอาจมี “นักการเมืองไทย” อยู่เบื้องหลัง ทั้งยังโยงไปถึงบุคคลที่อยู่ในรัฐบาลเอง
นายรังสิมันต์ไม่ได้หยุดเพียงการอภิปราย แต่ยังออกแถลงข่าวพร้อม “ท้า” นายกรัฐมนตรีถึงสามข้อเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ คือ หนึ่ง ปลด ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่งทันที หลังถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับนายเบน สมิธ ที่ถูกสื่อต่างชาติโยงชื่อเข้ากับขบวนการทุนเทา
สอง ตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่าย “เบน สมิธ” ให้ถึงที่สุด และสาม ดำเนินการในระดับนานาชาติหากพบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือค้ามนุษย์ โดยใช้กลไกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เข้าช่วย เหล่านี้คือสามค้อนหนักที่ฝ่ายค้านฟาดใส่รัฐบาลอย่างตรงจุด
แต่ในอีกฟากหนึ่ง นายอนุทินเลือกใช้ “ความนิ่ง” เป็นอาวุธ ปฏิเสธที่จะตอบโต้ในเชิงอารมณ์ และพูดเพียงว่า “ของจริงกับคำวิจารณ์มันไม่เหมือนกัน” พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหาสแกมเมอร์มาโดยตลอด เพียงแต่ใช้แนวทางการทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศแทนการโวยวายทางการเมือง และยกตัวอย่างการโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ทั้งสองฝ่ายยืนยันจะร่วมมือกันปราบปรามขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา ซึ่งถือเป็นความพยายามทางการทูตเชิงรุก
อย่างไรก็ตาม ความนิ่งในทางการเมืองไทย บางครั้งอาจไม่ถูกตีความว่า “สุขุม” แต่กลายเป็น “เฉื่อย” โดยเฉพาะเมื่อสังคมเริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลกำลัง “ป้องกันบางคน” ที่อาจมีส่วนพัวพันในขบวนการนี้ ชื่อของ “เบน สมิธ” ถูกกล่าวถึงซ้ำ ๆ ในหลายเวทีการเมือง ขณะที่ผู้แทนของ ร.อ. ธรรมนัส รีบออกมาชี้แจงว่าเป็น “คนละเบน” พร้อมยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุนสีเทา แต่แทนที่คำชี้แจงจะดับไฟ กลับยิ่งทำให้กระแสสงสัยรุนแรงกว่าเดิม
ในแง่ภาพรวม รัฐบาลอนุทินกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งจากในและนอกประเทศ ภายนอกคือแรงผลักจากประชาคมโลก โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่ต้องการเห็นความคืบหน้าในการจัดการเครือข่ายสแกมเมอร์ในภูมิภาค ขณะที่ภายในคือแรงต้านจากฝ่ายค้านที่ตั้งคำถามต่อศักยภาพและความจริงใจของรัฐบาล นี่คือศึกที่ไม่ได้วัดกันแค่เรื่อง “นโยบาย” แต่คือศึกแห่ง “ศรัทธา” ที่จะชี้ชะตาว่ารัฐบาลนี้ยังครองใจประชาชนได้หรือไม่
การตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งนายอนุทินประกาศกลางสภา ถูกฝ่ายค้านมองว่าเป็นเพียง “กลยุทธ์ซื้อเวลา” มากกว่าจะเป็นทางออกจริงของปัญหา เพราะที่ผ่านมาไทยมีคณะกรรมการจำนวนมาก แต่กลับจับคนผิดได้น้อยอย่างน่าใจหาย ยิ่งเมื่อข่าวลือเรื่อง “7 นักการเมืองไทย” ยังไม่มีการชี้แจงด้วยหลักฐานที่โปร่งใส ยิ่งทำให้ความไม่ไว้วางใจขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง
ในสนามการเมือง ความเชื่อมั่นคือทุนทางอำนาจ หากรัฐบาลปล่อยให้ข่าวปลอมกลายเป็น “ความจริงในใจคน” การอธิบายภายหลังย่อมไร้น้ำหนัก การนิ่งเฉยต่อกระแสไม่ต่างจากการยอมรับโดยปริยาย ซึ่งอาจบั่นทอนภาพลักษณ์รัฐบาลที่เพิ่งเริ่มต้นจนสั่นคลอนตั้งแต่ก้าวแรกของการบริหาร
ท้ายที่สุด เรื่องนี้อาจไม่ได้จบที่ข่าวลือ “7 นักการเมือง” แต่อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเกมความไว้วางใจครั้งใหญ่ของรัฐบาลอนุทิน หากไม่สามารถพลิกสถานการณ์ด้วยการเปิดข้อมูล โปร่งใส ตรวจสอบได้จริง และแสดงให้เห็นว่ากฎหมายอยู่เหนือทุกคน
เกมนี้อาจไม่ใช่แค่การต่อสู้กับสแกมเมอร์ แต่คือการต่อสู้เพื่อศรัทธาทางการเมืองที่อาจชี้ชะตาอนาคตทั้งรัฐบาลเลยทีเดียว
#อนุทิน #รังสิมันต์โรม #สแกมเมอร์กัมพูชา #7นักการเมืองไทย #ฟอกเงินข้ามชาติ #รัฐบาลอนุทิน #ข่าวการเมืองล่าสุด
หมายเหตุกองบรรณาธิการ
“บทความนี้อ้างอิงข้อเท็จจริงจากคำให้สัมภาษณ์และคำแถลงสาธารณะ พร้อมตรวจสอบแล้วว่า ณ วันที่เผยแพร่ ยังไม่มีเอกสารหรือแถลงอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ยืนยันรายชื่อดังกล่าว”