โรคไข้เลือดออกถือเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเดงกีแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว เด็กเล็กและวัยเรียนถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ อีกทั้งมักใช้เวลาเล่นนอกบ้านหรืออยู่ในสถานที่ที่อาจมีแหล่งน้ำขังโดยไม่รู้ตัว ทำให้เด็กมีโอกาสถูกยุงลายกัดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจเรื่องการป้องกันไข้เลือดออกอย่างจริงจัง เพราะหากเด็กติดเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะรุนแรง เช่น ภาวะช็อก หรือเลือดออกภายในที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ 5 วิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็กที่ผู้ปกครองสามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน
1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบบ้าน
การกำจัดแหล่งน้ำขังคือหัวใจของวิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก เพราะยุงลายวางไข่ในน้ำสะอาดที่อยู่นิ่ง ๆ เช่น น้ำในถังรองน้ำฝน แจกัน หรือจานรองกระถางต้นไม้ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นตรวจสอบภาชนะที่มีน้ำขังรอบบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำความสะอาดเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง
• ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้สนิท
• เปลี่ยนน้ำในแจกันหรือภาชนะเล็ก ๆ ทุก 7 วัน
• กำจัดเศษขยะ ยางรถยนต์เก่า หรือถ้วยพลาสติกที่กักเก็บน้ำฝน
2. ป้องกันไม่ให้ยุงกัดโดยตรง
เด็กเล็กเป็นเป้าหมายที่ยุงลายชอบกัด เพราะผิวอ่อนบางและมักเคลื่อนไหวตลอดเวลา การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัดจึงจำเป็นมาก คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ด้วยวิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็กดังนี้
• สวมเสื้อผ้าแขนยาว กางเกงขายาวเมื่อต้องอยู่ในที่ที่มียุงมาก
• ทายากันยุงที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับอายุ
• ใช้สเปรย์หรือเครื่องไล่ยุงในห้องนอนและพื้นที่เล่นของเด็ก
• นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อป้องกันยุงเข้ามา
3. ดูแลสุขอนามัยและความสะอาดในโรงเรียน
เด็กใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนเกือบครึ่งวัน การควบคุมความสะอาดในโรงเรียนจึงสำคัญไม่แพ้ที่บ้าน ผู้ปกครองควรพูดคุยกับครูหรือผู้ดูแลเพื่อให้มั่นใจว่าโรงเรียนมีมาตรการกำจัดแหล่งน้ำขังและดูแลความสะอาดรอบบริเวณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสอนลูกให้รู้จักสังเกตว่าพื้นที่ใดควรหลีกเลี่ยง เช่น บริเวณที่มีน้ำขังหรือยุงชุม
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
แม้ว่าการป้องกันยุงกัดจะเป็นวิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็กที่สำคัญ แต่การทำให้ร่างกายเด็กแข็งแรงก็ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย นอกจากนี้ การรับวัคซีนไข้เลือดออกก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์อาจพิจารณาในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป ซึ่งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ
5. เฝ้าระวังอาการผิดปกติและรีบพบแพทย์
แม้จะป้องกันอย่างดี แต่ก็ยังมีโอกาสที่เด็กจะติดเชื้อได้ คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจอาการของลูก หากมีอาการต่อไปนี้ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
• มีไข้สูงเฉียบพลันต่อเนื่องเกิน 2 วัน
• เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
• ปวดเมื่อยตามตัวหรือปวดกระบอกตา
• มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดา หรือเลือดออกตามไรฟัน
การพาไปพบแพทย์เร็วจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและเพิ่มโอกาสการรักษาที่ปลอดภัย
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจง การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในเด็กที่มีความเสี่ยงสูง คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้ด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ป้องกันการถูกยุงกัด ดูแลความสะอาดในโรงเรียน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเฝ้าระวังอาการผิดปกติอยู่เสมอ หากทำได้ครบถ้วนทั้ง 5 วิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็กนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกในเด็ก และสร้างเกราะป้องกันสุขภาพที่แข็งแรงให้กับครอบครัว