การกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่10” กำลังเริ่มต้น ไปพร้อมๆกับการนับหนึ่งของภารกิจ พลิกฟื้นให้ “พรรคสีฟ้า” กลับมาโดดเด่นอีกครั้งอย่างสมศักดิ์ศรีในสังเวียนการเมืองอีกครั้ง นับจากนี้ !
18 ตุลาคม 68 ที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ลงมติเลือกอภิสิทธิ์ กลับมาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ ได้คะแนนทั้งสิ้นเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีการเสนอชื่อใครขึ้นมาเป็นแคนดิเดต ท่ามกลางเสียงปรบมือแสดงความยินดี ให้อภิสิทธิ์ ลั่นห้องประชุม

แน่นอนว่าการโหวตครั้งนี้ ชนิดไร้คู่แข่ง อาจเป็นการส่งสัญญาณที่แรงชัดมาหลายวันก่อนหน้านี้แล้วว่า สมาชิกพรรคมาถึงจุดที่ต้องยินยอมพร้อมใจว่าพวกเขายินดีสนับสนุนอภิสิทธิ์ ให้เป็นหัวหน้าพรรคในยามสถานการณ์ทางการเมืองของพรรค ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
อภิสิทธิ์ เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาในที่ประชุมพรรคว่า ขอขอบคุณทุกความไว้วางใจ และย้ำว่า “ใจไม่เคยไปไหน”
ซึ่งหากมองย้อนกลับไป อภิสิทธิ์ ก็ทำเช่นนั้นมาโดยตลอด เมื่อชีวิตทางการเมือง เริ่มต้นขึ้นที่ประชาธิปัตย์ และแม้วันที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ในการโหวตชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ในเดือน ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา แต่อภิสิทธิ์ กลับไม่ได้เลือกที่จะไปเริ่มต้นใหม่กับพรรคการเมืองใด
หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 เป็นต้นมาต้องยอมรับสถานการณ์ของพรรคเริ่มกลายเป็นเส้นกร๊าฟ ที่ดิ่งลง ไม่ใช่เพราะการได้สส.กลับเข้าสภาฯ ด้วย “จำนวน” ที่ลดลงอย่างน่าใจหายเท่านั้น
แต่ในสมรภูมิการต่อสู้ทางการเมืองที่เข้มข้น ระหว่างศึกค่ายสี 3เส้า ทั้งแดง -น้ำเงิน-ส้ม เมื่อ ยุคหัวหน้าเฉลิมชัย นำพรรคเข้าร่วมรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทย ยิ่งกลายเป็นการตอกย้ำภาวะเสื่อมถอย เพราะกองเชียร์พรรค ตลอดจนแกนนำของพรรคหลายคนมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย ต่างยืนประจันหน้ากันมาหลายยุค หลายสมัย และคนของพรรคเองต่างต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” อย่างสุดตัว
ปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์สะสม และกลายเป็นพรรคที่ถูกประเมินว่าในการเลือกตั้งรอบหน้า อาจ “ต่ำสิบ” ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างใด อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการหา “หัวหน้าพรรค” ที่สามารถ “ต่อกร” ได้กับ พรรคการเมืองอื่นๆ

อย่างไรก็ดี การกลับมาของอภิสิทธิ์ บนเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนที่ 10 ในห้วงที่บริบททางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา “คะแนนนิยม” ของพรรค แทบไม่เคยติดโผของการสำรวจตามโพลสำนักต่างๆ ทั้งพรรค และตัวบุคคล
เท่ากับว่า ความเชื่อมั่นที่กองเชียร์ต่อตัวอภิสิทธิ์ จึงยังไม่เพียงพอที่จะ “ฟื้น” พรรคให้กลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมลงสนามเลือกตั้ง
“ชวน หลีกภัย” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ คือผู้หนึ่งที่สนับสนุนอภิสิทธิ์ มาตั้งแต่วันแรก จนถึง ณ วันนี้ ก็ยอมรับว่า แม้พรรคจะมีหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว แต่การที่จะให้ทุกอย่าง เป็นไปอย่างทันใจ นั้นคงไม่ใช่
“ คงไม่ใช่เปิดปุ๊บติดปั๊บ ในเรื่องของความเชื่อมั่น แต่เท่าที่ติดตามส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ดีใจ ยกเว้นสื่อที่วิจารณ์ สมมติว่าหากมีความเปลี่ยนแปลง นายอภิสิทธิ์กลับมา ส่วนใหญ่ก็จะให้กำลังใจ และหวังว่าจะได้กลับมาสนับสนุนพรรค”
ทั้งนี้การกลับมาของอภิสิทธิ์ ท่ามกลาง “ความหวัง” ที่จะฟื้นฟูพรรคให้ทันก่อนการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมีขึ้น แม้จะได้รับแรงหนุนจากทั้งในและนอกพรรค ทว่าในความเป็นจริงแล้ว “โจทย์ข้อยาก” ยังรออยู่เบื้องหน้า ล้วนต้องอาศัยปัจจัยหลายทาง
โดยเฉพาะการฟื้นคะแนนนิยมในพื้นที่ “ฐานเสียง” หลักๆ โดยเฉพาะ “ภาคใต้” นั้นจะเดินหน้าอย่างไร เมื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขตเลือกตั้งภาคใต้ทั้ง 54 เขต ถูก พรรคภูมิใจไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงไปจับจอง และล่าสุดเมื่อพรรครวมไทยสร้างอ่อนกำลังลง โอกาสกำลังจะเปิดให้กับ “พรรคกล้าธรรม” ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะที่ปรึกษาพรรค บุกเข้าไปทำพื้นที่แข่งกับพรรคสีน้ำเงิน
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เอง สูญเสียที่นั่งสส.ภาคใต้ ไปอย่างต่อเนื่อง จากการเลือกตั้ง2 ครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ กลุ่มแกนนำประชาธิปัตย์เองยังประเมินมาก่อนหน้านี้แล้วว่า การเลือกตั้งรอบหน้า พรรคยังต้องเร่งหาตัว “ผู้สมัคร” ในระดับเขตเลือกตั้ง เนื่องจากที่ผ่านมา พรรคประสบกับภาวะเลือดไหลออก สส.และอดีตสส.ย้ายออกจากพรรค ไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย อย่างต่อเนื่อง
เท่ากับว่าในการเลือกตั้งรอบหน้า การได้สส.เขต ในพื้นที่ 54 เขต ภาคใต้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า “ยากมาก” !
เช่นเดียวกับ พื้นที่กทม. ซึ่งมี 37 เขตเลือกตั้งให้ทุกพรรคได้มีโอกาสช่วงชิง และหากย้อนกลับไปสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ฟีเวอร์ พรรคก็เคยครองที่นั่งสส.กทม. กันเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว
แต่หลายปีมานี้ พื้นที่เลือกตั้งกทม. ได้กลายเป็น สนามแจ้งเกิดสำหรับพรรคส้ม พรรคประชาชนอย่างชัดเจน เพราะแม้แต่พรรคเพื่อไทย ที่ทุ่มสรรพกำลังลงไปอย่างเต็มที่ ยังรักษาเก้าอี้สส.กทม.เอาไว้ได้เพียง “1ที่นั่ง”เท่านั้น
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า กระแสของอภิสิทธิ์ จะหมดโอกาสในพื้นที่กทม. เพียงแต่ต้องสู้กับคะแนนนิยมของพรรคประชาชน ที่ตั้งเป้ายึดเสียงของคนรุ่นใหม่ ซึ่งโจทย์ข้อนี้ คือหนึ่งในปัญหาที่แกนนำของพรรค ต้องกลับไปหาทางแก้เกมเพื่อแบ่งสส.ในกทม.

แน่นอนว่าลำพังการกลับมาของอภิสิทธิ์ เพียงคนเดียว ย่อมไม่สามารถทำให้พรรคก้าวกระโดดกลายเป็นหุ้นการเมืองที่ดีดขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น แต่การจัดทัพ “คณะทำงาน” ทั้งในส่วนของกรรมการบริหารพรรค และการโชว์ “นักบริหาร” ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง คือการส่งสัญญาณว่าพรรคกำลังปรับโฉมตัวเอง
อย่างไรก็ดี ตำแหน่งผู้เล่นที่มีความสำคัญและเคยทำให้พรรคประชาธิปัตย์ แข็งแกร่ง คือการมี “เลขาธิการพรรค” ที่เข้มแข็ง ซึ่งในอดีต ครั้งที่ ชวน เป็นหัวหน้าพรรค ก็ได้ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นเลขาฯพรรค
ต่อมาในยุคที่อภิสิทธิ์ เคยเป็นหัวหน้าพรรค ก็ได้ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นเลขาฯพรรค จนนำไปสู่การพลิกเกม จับมือ “เนวิน ชิดชอบ” ตั้งรัฐบาลแข่งกับ พรรคเพื่อไทย เกิดเป็นตำนานการเมืองและวลีเด็ด "มันจบแล้วครับนาย" จนทำให้ "ทักษิณ ชินวัตร" กระอัก มาแล้ว
สำหรับวันนี้ เมื่ออภิสิทธิ์ นั่งหัวหน้าพรรค โดยมี “ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์” อดีตสส.ตาก นั่งเป็นเลขาฯพรรค จึงกลายเป็นการพิสูจน์ฝีมือ “เลขาฯชัยวุฒิ” ในวันที่พรรคกำลังเร่งฟื้นตัว ว่าเขาเองจะมี แรง “ผลัก” พรรคให้ขยับขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน ?
ดังนั้นสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนี้ ได้ หัวขบวน สำคัญกลับมา ภายใต้ความหวังว่าในการเลือกตั้งรอบหน้า แม้พรรคอาจจะกวาดตัวเลขสส.ไม่มากจนทำให้พรรคทะยานขึ้นไปสู่พรรคอันดับ 2 หรือ 3 แต่อย่างน้อยที่สุด ความไปได้ที่จะทำแต้มสส.เข้าสภาฯให้ได้มากกว่าตัวเลข 25 สส. จากเลือกตั้งล่าสุดเมื่อปี 2566 เพื่อปิดฉากความพ่ายแพ้ในวันวาน !