วันที่ 18 ต.ค.2568 นพ.วีระพันธ์ สุวรรณยามัย สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุกส่วนตัว ระบุว่า
" ย้ำเหมือนเดิม อีก 2 ปีครึ่ง ระบบล่ม…
ถ้าไม่รีบแก้ไขวันนี้ คนเจ็บป่วยจะเป็นผู้รับกรรม
5 เดือนก่อนผมและแพทย์กลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าอีก 3 ปีระบบสาธารณสุขไทยจะล่มสลาย ตอนนี้คงเห็นเค้าลางกันบ้างแล้วนะครับ
ไม่ต้องแปลกใจอีกแล้วว่าทำไมโรงพยาบาลทั่วประเทศถึงเริ่มไม่มีเงินหมุนมารักษาคนไข้
ไม่ใช่เพราะแพทย์ไม่ทำงาน
ไม่ใช่เพราะพยาบาลขี้เกียจ
แต่เพราะระบบงบประมาณสุขภาพของประเทศกำลังถึงจุดล่มสลาย
ผมติดตามเรื่องนี้มาหลายเดือน เพราะอยากให้ประชาชนรู้ข้อเท็จจริง และให้ผู้บริหารตระหนักว่า ถ้าเรายังปล่อยปละละเลยกันแบบนี้ อีกไม่เกินสองปีครึ่งข้างหน้า ระบบสุขภาพไทยอาจล้มทั้งระบบ และคนที่เจ็บป่วยจะเป็นผู้รับผลโดยตรง
จากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ โรงพยาบาลของรัฐในระบบบัตรทองขณะนี้ขาดทุนรวมกว่า 18,000 ล้านบาท มีโรงพยาบาลถึง 326 แห่งที่มีเงินบำรุงติดลบรวมกว่า 8,200 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้ยังไม่รวมโรงเรียนแพทย์ เช่น ศิริราช รามาธิบดี และจุฬาฯ ซึ่งแต่ละแห่งถูกปรับหนี้ศูนย์ไปราว 1,000 ถึง 1,600 ล้านบาท
พูดให้เข้าใจง่ายคือ เรากำลังอยู่ในระบบที่ทำมากแต่ยิ่งขาดทุน เพราะค่ารักษาที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจ่ายให้ ไม่ครอบคลุมต้นทุนจริง โรงพยาบาลต้องสำรองเงินตัวเองจ่ายก่อน เงินที่ควรใช้ซื้อยา ซ่อมเครื่องมือ จ่ายค่าเวร หรืออบรมบุคลากรจึงหายไป ขวัญกำลังใจของคนทำงานลดลง หลายคนลาออกจากระบบ ทั้งที่พวกเขาก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและสปสช.มีการประชุมหารือกัน ทุกฝ่ายยอมรับว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือเรื่องเงิน แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดคือความจริงใจในการแก้ไข
ที่ผ่านมาเรามักโยกงบกลางมาช่วยเฉพาะหน้า แต่ไม่เคยแตะโครงสร้างต้นเหตุ ระบบยังเป็นแบบงบปลายปิด คือจะรักษาคนมากแค่ไหน เงินก็มีเท่าเดิม
ต้นทุนจริงของการรักษาหนึ่งหน่วยอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท แต่โรงพยาบาลได้รับคืนเพียง 8,000 กว่าบาท ส่วนต่างนี้ไม่มีใครชดเชยนอกจากโรงพยาบาลเอง และถ้าปล่อยให้ขาดทุนต่อเนื่องแบบนี้อีกสองสามปี โรงพยาบาลจำนวนมากอาจไม่เหลือเงินรักษาคนไข้
ถ้าไม่เริ่มแก้วันนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะเห็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โรงพยาบาลจะเริ่มจำกัดบริการ หลายคนคงโดนแล้ว บุคลากรจะลาออกเพิ่ม การฝึกอบรมหยุดชะงัก และโรงพยาบาลที่เคยเป็นเสาหลักของระบบ จะกลายเป็นผู้ป่วยเสียเอง
สิ่งที่ควรทำมีไม่กี่ข้อ
หนึ่ง เคลียร์หนี้ค้างจ่ายทั้งหมด เพื่อคืนสภาพคล่องให้โรงพยาบาล
สอง ปรับโครงสร้างการจ่ายเงินให้สะท้อนต้นทุนจริง ไม่ใช่ผลักภาระให้โรงพยาบาล
สาม ตั้งกองทุนสำรองฉุกเฉินด้านสุขภาพแห่งชาติ เพื่อรองรับวิกฤตไม่ให้ระบบล้ม
สี่ ตรวจสอบอย่างโปร่งใสแต่ไม่ทำลายขวัญกำลังใจของคนทำงาน
ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่ว่าใครผิดหรือใครถูก แต่คือระบบทั้งระบบกำลังป่วย เราต้องรักษามันก่อนที่มันจะรักษาใครไม่ได้อีกต่อไป
ผมอยากเชิญนักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน และผู้บริหารทุกหน่วยงาน อย่ามองคำเตือนนี้เป็นการโจมตี แต่มองว่าเป็นสัญญาณชีพของระบบสุขภาพไทยที่กำลังอ่อนแรงและร้องขอให้เราช่วยกัน
อีกสองปีครึ่ง ถ้าเรายังเฉย ระบบสุขภาพไทยจะไม่เพียงล้มเหลวทางการเงิน แต่จะล้มเหลวทางศีลธรรม เพราะเมื่อถึงวันนั้น คนเจ็บจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของตัวเอง"