ในสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคม 2568 (ระหว่างวันที่ 13-17 ตุลาคม 2568) ภาพรวมของราคาสินค้าเกษตรไทยสะท้อนให้เห็นถึงภาวะ “ผันผวนในเสถียรภาพ” หลายรายการยังคงเคลื่อนไหวตามปัจจัยเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มปศุสัตว์และพืชไร่ที่มีการปรับตัวแตกต่างกันชัดเจน ขณะที่แรงกดดันจากต้นทุนการผลิต อุปสงค์ภายในประเทศ และสถานการณ์ตลาดโลก ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาในระยะสั้น เกษตรกรและผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างรอบคอบเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
ตลาดสินค้าปศุสัตว์ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยราคา ไข่ไก่ ปรับลดลงสวนทางกับราคา สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ที่ขยับขึ้นในทุกภูมิภาค เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แจ้งปรับลดราคาแนะนำไข่ไก่คละหน้าฟาร์มจากฟองละ 3.60 บาท เหลือ 3.40 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม การลดราคาครั้งนี้เกิดจากปัจจัยผสมผสานหลายด้าน ทั้งปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงปิดภาคเรียน ความต้องการบริโภคที่ลดลงในเทศกาลกินเจ และสภาพอากาศที่มีฝนตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทำให้การบริโภคในครัวเรือนชะลอตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาจะเริ่มทรงตัวในระดับปัจจุบันหลังจากการปรับลดรอบนี้
ในทางกลับกัน สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ปรับเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกิโลกรัม ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2568 จากแรงหนุนของเทศกาลทอดกฐินและการท่องเที่ยวฤดูหนาวที่ช่วยกระตุ้นความต้องการบริโภคทั่วประเทศ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติระบุว่า ความต้องการเนื้อหมูยังแข็งแกร่ง ขณะที่อุปทานยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่งผลให้ราคาเนื้อแดงชำแหละ (สะโพก) ยังคงทรงตัวสูงที่ 122.50 บาทต่อกิโลกรัมในวันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งสะท้อนสัญญาณของตลาดที่ยังอยู่ในภาวะตึงตัว ส่วนราคา ไก่เนื้อ ยังคงทรงตัวที่กิโลกรัมละ 36 บาท โดยลูกไก่เนื้อและลูกไก่ไข่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงของราคา แสดงถึงเสถียรภาพของตลาดเนื้อไก่ในช่วงนี้
ด้าน พืชไร่และวัตถุดิบอาหารสัตว์ มีทิศทางที่หลากหลาย โดย ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 ยังคงราคาสูงถึง 3,655 บาทต่อ 100 กิโลกรัม ณ วันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพของผลผลิตและความต้องการในตลาดพรีเมียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าราคา ข้าวส่งออก ในตลาดโลกจะมีการปรับลดเล็กน้อยตามรายงานของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย แต่ตลาดภายในประเทศยังคงทรงตัว โดย ข้าวขาว 100% ชั้น 2 และ ปลายข้าว เอ.วัน.พิเศษ ยังอยู่ในระดับราคาเดิม
ส่วน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ไซโลโรงงานอาหารสัตว์ ยังคงรักษาระดับราคาได้ดีจากความต้องการใช้ในประเทศที่ต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าในสหรัฐฯ (CBOT) ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สามจากผลผลิตเก็บเกี่ยวที่ต่ำกว่าคาดและแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ขณะเดียวกัน กากถั่วเหลืองนำเข้า ยังคงทรงตัว แม้ตลาด CBOT จะขยับขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง หลังมีรายงานว่าปริมาณการบดถั่วเหลืองในสหรัฐฯ สูงเกินคาด ส่งผลให้ราคายังคงเสถียรในตลาดโลก ส่วน ปลาป่น ในประเทศยังทรงตัว แต่มีแนวโน้มปรับขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากจีนเริ่มชะลอการนำเข้าและปริมาณสต็อกหน้าท่าเรือลดลง
ภาพรวมของราคาสินค้าเกษตรในสัปดาห์นี้จึงสะท้อนถึงภาวะ “สมดุลเชิงเปราะบาง” โดยกลุ่มปศุสัตว์ได้รับแรงหนุนจากฤดูกาลบริโภค ขณะที่สินค้าในกลุ่มพืชไร่ยังคงรักษาเสถียรภาพไว้ได้ โดยเฉพาะข้าวพรีเมียมที่ยังเป็นจุดแข็งของไทย อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตในกลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังคงมีความผันผวนจากตลาดโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาภายในประเทศในระยะถัดไป ผู้ประกอบการและเกษตรกรจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในช่วงที่เศรษฐกิจเกษตรไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ