เมื่อรัฐนาวาที่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” ประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศและมีการกำหนดระยะเวลาเพียง 4 เดือนในการบริหารราชการแผ่นดินกับการแก้ปัญหา 4 ด้าน 1. ปัญหาเศรษฐกิจ 2. ปัญหาความมั่นคง 3. ปัญหาภัยพิบัติ สิ่งแวดล้อมและ 4. ปัญหาภัยสังคม โดยมีเป้าหมาย "Quick Win" ด้วยเวลาที่จำกัด ที่จะต้องทำภารกิจหลัก สร้างผลงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเรียกคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ไม่ใช่งานง่ายเมื่อ อนุทิน จะต้องเจอปัญหาหนักอย่างกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่ดูเหมือนไม่จบที่การรุกล้ำพื้นที่ชายแดนเท่านั้น แต่ยังโยงไปถึงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ที่มาในรูปแบบ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ สแกมเมอร์” ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลกหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทางฝั่งนักการเมืองอย่าง “รังสิมันต์ โรม” สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนที่โพสต์ตามหา อนุทินว่า “ผมอยากเชิญชวนผู้รักชาติ ช่วยกันตามหาคุณอนุทิน หายไปไหน ทำไมไม่จัดการแก๊งสแกมเมอร์ ถามหาคุณธรรมนัส ว่าจะรับผิดชอบอย่างไรกับการปกป้องนายเบน สมิธ อินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายช่วยใช้พลังตรงนี้กดดันรัฐบาลให้เร่งปราบ รับรองสะเทือนถึงพนมเปญ”

หรือคำถามที่ “ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ” สส. พรรคประชาชน ออกมาถามว่า การที่อนุทินเลี่ยงตอบคำถาม และการใช้วิธีเงียบไม่ชี้แจงอะไรนั้นเป็นเพราะ “เกรงใจใคร” หรือ “กังวลอะไรอยู่”
รวมถึงการที่ “เทพไท เสนพงศ์” อดีต สส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ออกถามหาความคาดหวังจาก อนุทิน ที่จะเป็นหัวหอกเข้าไปแก้ปัญหาไม่ใช่มานั่งมองสหรัฐอเมริกา อังกฤษและเกาหลีใต้ ที่เอาจริงเอาจังกับการจัดการแก๊งสแกมเมอร์ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา
แม้ล่าสุด อนุทิน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมกับนั่งเป็นประธานเอง จะสามารถคลี่คลายปัญหาได้หรือไม่ก็ต้องรอดู
อีกเรื่องที่ อนุทิน จะต้องตอบคำถามต่อสาธารณะชนคือ เรื่อง “การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย” ซึ่งเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติแต่งตั้งถึง 45 ตำแหน่ง ทั้งรองปลัดกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวง อธิบดีกรมต่างๆ (เช่น กรมการปกครอง, กรมที่ดิน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และผู้ว่าราชการจังหวัด

การที่ อนุทิน จะชี้แจงถึงเหตุผลการโยกย้ายว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เป็นการใช้คนให้ถูกกับงาน การจัดวางบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้เหมาะสมกับภารกิจเร่งด่วนของกระทรวง รวมถึงการคืนความเป็นธรรมให้กับข้าราชการที่ถูกโยกย้าย เพราะเรื่องการเมืองในสมัย “ภูมิธรรม เวชยชัย” เมื่อครั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรีและรมว. มหาดไทย รวมถึงการแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อ “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ที่ตัว อนุทิน ก็ยอมรับว่าเป็นการคืนความเป็นธรรม
และยังไม่นับรวมการโยกย้ายข้าราชการกระทรวงต่างๆ ที่พรรคร่วมรัฐบาลเป็นเจ้ากระทรวง ว่าจะมีอีกมากน้อยแค่ไหน จะเป็นการตอบแทนบุญคุณคนคุ้นเคย หรือเป็นการวางหมาก วางคน วางเกม เพื่อหาทุนหาเสียงให้ตัวเองในอนาคต
วันนี้นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะต้องเจอ แต่ปัญหาสังคมที่ลามจนกลายเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่เรื้อรังมายาวนาน ถือเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลว่า จะสามารถแก้ไขให้ได้ ก่อนที่จะกลับเข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งใหม่ได้หรือไม่