ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ทุกคนต้องเผชิญวิบากกรรม อันเป็นผลจากกรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำมา แต่วิบากกรรมทางการเมืองนี้น่าจะ “สาหัสที่สุด” เพราะเป็นกรรมที่ทำกับคนจำนวนมาก
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องเผชิญวิบากกรรมหลายเรื่อง นอกสภาก็คือเรื่องของการใช้เสรีภาพอย่างวุ่นวายของกลุ่มมวลชนต่าง ๆ ส่วนในสภาก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ของนักการเมืองทั้งหลาย สุดท้ายก็หันมาทำลายกันเอง โดยได้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจเก่าคือทหาร ที่ได้หวนคืนมากอบกู้ “ศักดิ์ศรี” คืนมา ด้วยการฆ่าฟันกันเองของนักการเมือง ที่สู้อุตส่าห์หาเสียงเลือกตั้งเข้ามาได้อย่างยากลำบาก แต่ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ การกระทำของนักการเมืองเหล่านี้ได้ทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่ได้มาอย่างยากลำบาก ด้วยเลือดและเนื้อของประชาชนนับร้อย ในเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” 14 ตุลาคม 2516 ต้อง “ไร้ค่า” หมดความหมายไปอย่างน่าอนาจ
ดังที่ทราบกันว่า ทหารได้รับผลกระทบอย่างมากหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เรียกว่าสูญสิ้นเกียรติยศศักดิ์ศรี ได้รับความเกลียดชังไปทั่ว ลูกหลานครอบครัวทหารก็ได้รับการประณามให้อับอาย บ้างก็กลัวถูกทำร้าย คนที่รับราชการทหาร(รวมถึงตำรวจด้วย)ไม่กล้าแต่งเครื่องแบบไปในที่สาธารณะ เช่น ขึ้นรถเมล์ หรือเดินไปตามท้องถนน บางคนก็เอาเครื่องแบบใส่ถุงกระดาษไปเปลี่ยนที่ที่ทำงาน หรือขออนุญาตผู้บังคับบัญชาที่จะไม่แต่งเครื่องแบบอยู่ระยะหนึ่งในช่วงเวลานั้น
รัฐบาลของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แรก ๆ ก็ไม่คิดว่าทหารจะคืนมามีอำนาจรบกวนหรือทำอะไรต่อรัฐบาลได้ จนมีลูกศิษย์ที่อยู่ในแวดวงระดับบังคับบัญชาของทหารและตำรวจมาแจ้งข่าวว่า “อาจจะมีการปฏิวัติ” อันเนื่องมาจากความวุ่นวายทั้งนอกและในสภา ที่สำคัญทหารนั้นต้องการที่จะ “กอบกู้” เกียรติยศศักดิ์ศรีให้กลับคืนมา ข่าวนี้สอดคล้องกับที่มี สส.หลายคนในพรรคร่วมรัฐบาล มาบอกกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เองว่า ได้รับการติดต่อจากนักการเมือง “ผู้ใหญ่” บางคน ที่ไป “รับงาน” มาจากผู้นำทหาร ให้แยกตัวออกมาจากรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลไปต่อไม่ได้ แล้วสรรหานายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งก็จะต้องมีการรวมขั้วหรือจัดขบวนรัฐบาลกันใหม่ ที่จะทำให้หลาย ๆ คนได้สลับสับเปลี่ยนเข้าไปเป็นรัฐมนตรี รวมถึงที่จะได้มีการแบ่งปัน “ผลประโยชน์” ต่าง ๆ กันมากขึ้น ข่าวนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่รู้กันเฉพาะวงในของ สส. ทหารและตำรวจ แต่ผู้สื่อข่าวหลายคนก็รู้ ถึงขั้นที่ได้พยายามสอบถามเรื่องนี้จากท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ โดยในเดือนสิงหาคมที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้เดินทางกลับมาจากการประชุมผู้นำชาติอาเซียน ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ท่านเดินทางกลับมา ผู้สื่อข่าวได้ถามท่านว่า ท่านทราบหรือไม่ว่าทหารกำลังจะทำรัฐประหาร ท่านก็ถามผู้สื่อข่าวกลับไปว่าทราบได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวก็บอกว่า ท่านไม่ทราบหรือทหารได้ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ยิ้มอยู่สักครู่ ก่อนที่จะตอบผู้สื่อข่าวเหล่านั้นไปว่า “ผมสั่งเอง”
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าให้กับคนใกล้ชิดฟังในเวลาต่อมาหลังจากพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ความจริงท่านไม่ได้สั่ง เพราะอำนาจการประกาศกฎอัยการศึกนี้เป็นของทหารโดยตรง เพียงแต่เมื่อจะสั่งการออกไปก็ต้องแจ้งให้รัฐบาลทราบ แต่ครั้งนั้นทหารไม่ได้แจ้งแก่ท่าน ท่านจึงเริ่มเชื่อว่าทหารคงจะคิดทำรัฐประหาร “ล้มรัฐบาล” จริง ๆ ซึ่งคำตอบว่าท่าน “สั่งเอง” นั้น วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวกันทุกฉบับ ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า นั่นอาจจะทำให้ทหารต้องล้มเลิกความคิดที่จะทำรัฐประหารในตอนนั้น ทว่าทหารก็ไม่ได้ละความพยายามที่จะทำการล้มรัฐบาลให้ได้ จนความพยายามนั้นก่อตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงก่อนที่จะสิ้นปี 2518
ท่านอาจารย์ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ หรือที่สื่อมวลชนให้ฉายาว่า “คึกฤทธิ์น้อย” (ท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมีความสนิทสนมกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาก่อน ต่อมาได้ลาออกมาทำพรรคกิจสังคมช่วยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้เป็นรัฐมนตรีอยู่หลายสมัย มีลีลาการปราศรัยคล้ายท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาก รวมถึงการเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐก็มีลีลาคล้ายกัน) ได้เขียนบทความในคอลัมน์ “โลกกว้างทางแคบ” ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เล่าถึงเรื่องความพยายามที่ทหารจะทำการล้มรัฐบาลในครั้งนั้นว่า หลังจากที่ทหาร “ช็อต” คือทำการไม่สำเร็จในเดือนสิงหาคม ทหารก็ไม่ได้ละเลิกความพยายาม จนถึงต้นเดือนธันวาคม 2518 ทหารได้ให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ยังร่วมรัฐบาลกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อยู่ด้วย ทำการฟอร์มคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พร้อมกับชักชวนพรรคการเมืองพรรคอื่น ๆ แม้กระทั่งพรรคกิจสังคมนั้นด้วย ให้หันมาสนับสนุนหัวหน้าพรรคของพรรคการเมืองพรรคนี้ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน จนกระทั่งกลางเดือนธันวาคม ข่าวความเคลื่อนไหวนี้ก็เริ่มแน่ชัด เพราะมี สส.ของพรรคกิจสังคมบางคนได้มาแจ้งท่านอาจารย์เกษม ที่ตอนนั้นเป็นรองเลขาธิการพรรคกิจสังคมอยู่ด้วยว่า จะขอไปทำงานการเมืองกับพรรคที่หัวหน้าพรรคกำลังอยากเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านอาจารย์เกษมจึงไปบอกกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็พูดขึ้นว่า “งั้นก็เตรียมยุบสภา”
ในวันก่อนสิ้นปีเก่า 2518 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้จัดงานเลี้ยงให้กับพรรคร่วมรัฐบาล แต่ปรากฏว่ามีผู้นำของบางพรรคและ สส.จำนวนหนึ่งไม่ได้มาร่วมในงานเลี้ยง ทำให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีความมั่นใจว่า มีคนที่คิดคดทรยศจะล้มรัฐบาลจริง ๆ ดังนั้นเมื่อขึ้นปีใหม่ได้สักสิบกว่าวัน คือในวันที่ 12 มกราคม 2510 ก็มีพระราชกฤษฎีการประกาสยุบสภา โดยมีเหตุผลระบุไว้ว่า “ด้วยนายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลฯ ว่า สภาผู้แทนราษฎรปัจจุบันประกอบด้วยพรรคการเมืองต่าง ๆ หลายพรรค แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมีจำนวนมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ จำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองหลายพรรคเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน และกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง และถึงแม้ว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นอีกก็ตาม อุปสรรคดังกล่าวนี้ก็ไม่อาจสิ้นสุดลงได้ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปขึ้นใหม่”
จากข้อความในพระราชกฤษฎีกาข้างต้นก็เป็นสิ่งยืนยันว่า “สนิมเกิดจากเนื้อในตน” คือการยุบสภาครั้งนั้นมีสาเหตุมาจากปัญหาภายในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองโดยแท้ แต่ที่ไม่ได้พูดไว้ก็คือเรื่องที่มีทหารบางคนอยู่เบื้องหลังที่ได้สร้างปัญหาดังกล่าวนั้นขึ้น ซึ่งนายทหารคนนั้นก็ยังคงขัดขวางการเข้าสู่อำนาจของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ รวมถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น ๆ ของพรรคกิจสังคมต่อมาอีกด้วย อย่างที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์และผู้สมัครหลาย ๆ คนของพรรคกิจสังคมต้อง “สอบตก” ในการเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน 2510 โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ลงเลือกตั้งในเขตดุสิตปีนั้น (ก่อนหน้านั้นท่านลงสมัครในเขตพระนคร แต่มาในปี 2510 ท่านอยากพิสูจน์ว่าท่านจะสามารถเอาชนะทหารที่เป็นศัตรูกับท่านบางคนนั้นได้หรือไม่ ท่านจึงเสี่ยงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตดุสิต อันเป็นเขตเลือกตั้งที่มีหน่วยทหารตั้งอยู่เป็นจำนวนมากดังกล่าว) ก็กลายเป็น สส.สอบตกตามคาด
หลังการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้นายทหารที่เป็นสมาชิกพรรคท่านหนึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ตั้งให้เป็นได้อยู่เพียงเดือนกว่า ๆ ก็มีข่าวว่า มีนายทหารในกองทัพบางคนอยากขึ้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมนี้เสียเอง และได้ส่งสัญญาณ “ร้องขอ” ไปยังรัฐบาลแล้ว ซึ่งรัฐบาลก็ยินยอม โดยกำลังมีการเสนอโปรดเกล้าฯให้นายทหารผู้นั้นได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามที่ต้องการ แต่ระหว่างนั้นก็ปรากฏว่านายทหารผู้นั้นได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน ระหว่างที่กำลังรับประทานของหวานหลังอาหารกลางวัน
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้อโหสิกรรมแก่นายทหารคนนั้นไปตั้งแต่วันที่เสียชีวิตนั้นแล้ว เมื่อมีคนไปเปรย ๆ กับท่านว่า คนที่ทำร้ายท่านคงได้รับผลกรรมนั้นแล้ว ท่านก็ตอบว่า “เรามีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะเป็นทายาท คือว่าเราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป”
#ลีลาชีวิต #คึกฤทธิ์ชีวิตไทย #ทวีสุรฤทธิกุล #คึกฤทธิ์ปราโมช #การเมืองไทย #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #14ตุลาคม2516