ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ
ขณะที่ จัสติน เฮย์เวิร์ด อดีตสมาชิก เดอะ มูดี้ บลูส์ หนึ่งในวงร็อกระดับตำนานจากอังกฤษ กำลังอยู่ในตารางทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวของเขาในปี 2025 นี้ จอห์น ลอดจ์ อดีตสมาชิกอีกคนก็จากไป
เมื่อรวมอดีตสมาชิกรุ่นก่อตั้ง และสมาชิกในชุดที่เรียกว่า ‘คลาสสิก-ไลน์อัพ’ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 2 ของวง ถึงตอนนี้อดีตสมาชิกของ เดอะ มูดี้ บลูส์ เสียชีวิตลงทั้งหมดแล้ว เหลือเพียง จัสติน เฮย์เวิร์ด เพียงคนเดียว เดอะ มูดี้ บลูส์ ก่อตั้งในเบอร์มิงแฮม 1964 ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน ได้แก่ แกรม เอ็ดจ์ มือกลอง, เดนนี่ เลน มือกีตาร์, ไมค์ พินเดอร์ มือคีย์บอร์ด, คลินท์ วอร์วิค มือเบส และ เรย์ โธมัส ผู้ที่เล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลาย เริ่มแรกพวกเขาเล่นในแนวริทึม แอนด์ บลูส์ ซึ่งเป็นกระแสนิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษาอังกฤษในยุคนั้น พวกเขามีเพลงฮิต “Go Now” ติดอันดับ 1 ในอังกฤษ และท็อป 10 ในอเมริกา แต่เมื่อ จัสติน เฮย์เวิร์ด – กีตาร์ และ จอห์น ลอดจ์ – เบส เข้ามาแทน เดนนี่ เลน และ คลินท์ วอร์วิค ในปี 1966 ทิศทางดนตรีของวงก็เปลี่ยนสู่แนวโปรเกรสซีฟ-ร็อกในอัลบั้มที่ 2 และถือเป็นมาสเตอร์พีซของวง - Days of Future Passed (1967) การผสมผสานดนตรีร็อกกับคลาสสิกของ เดอะ มูดี้ บลูส์ ทำให้พวกเขาได้รับยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกในการพัฒนาร็อกเชิงศิลปะและโปรเกรสซีฟ-ร็อก นักวิจารณ์และคอลัมนิสต์ดนตรีชั้นนำจำนวนหนึ่งถือว่า Days of Future Passed เป็น "หนึ่งในคอนเซ็ปต์-อัลบั้มชุดแรก ๆ ที่ประสบความสำเร็จ”
จากนั้น เดอะ มูดี้ บลูส์ ก็ประสบความสำเร็จจากการออกอัลบั้มมาอีก 6 ชุด และทัวร์อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะตกลงกันในหมู่สมาชิกให้พักวงในปี 1974 เพื่อหยุดยั้งความอ่อนล้าที่เริ่มจะเป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ พวกเขากลับมาออกอัลบั้มอีกครั้งในปี 1978 หลังจาก ไมค์ พินเดอร์ ลาออกไป และได้ แพทริค โมราซ อดีตมือคีย์บอร์ดวง เยส เข้ามาแทน ช่วงนี้สุ้มเสียงของ เดอะ มูดี้ บลูส์ ใช้ซินธิไซเซอร์มากขึ้น ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ โมราซ นำติดตัวเข้ามา เดอะ มูดี้ บลูส์ ออกอัลบั้มมาอีก 8 ชุด และยังคงประสบความสำเร็จอย่างดีจากอัลบั้ม Octave (1978) และ Long Distance Voyager (1981) หลังจากนั้นความนิยมก็เริ่มลดลงเหมือนวงร็อกรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะกระแสดนตรีมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จนกระทั่งถึงผลงานชุดสุดท้าย December ที่ออกในปี 2003
เดอะ มูดี้ บลูส์ ขายอัลบั้มได้มากกว่า 70 ล้านชุดทั่วโลก ออกอัลบั้มจากสตูดิโอทั้งหมด 16 ชุด มี 6 ชุดติดอันดับท็อป 20 บนตาราง บิลล์บอร์ด 200 ซึ่ง 2 ชุดติดอันดับ 1 ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศแห่งร็อก แอนด์ โรลล์เมื่อปี 2018
ความสำเร็จและเกียรติยศทั้งหมดนี้ จอห์น ลอดจ์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง จอห์น ชาร์ลส์ ลอดจ์ เรียนที่วิทยาลัยแอดวานซ์ เทคโนโลยีในเบอร์มิงแฮมบ้านเกิด เหมือนวัยรุ่นในยุคสมัยของเขา ได้รับอิทธิพลจากดนตรีร็อก แอนด์ โรลล์จากอเมริกา โดยเฉพาะจากศิลปินอย่าง บัดดี้ ฮอลลี่ และ เจอร์รี่ ลี ลูว์อิส ต่อมาเขาตั้งวงดนตรีร่วมกับ เรย์ โธมัส เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่อายุ 14 ขวบ และในที่สุด ทั้งคู่ก็กลายมาเป็นสมาชิกชุดคลาสสิก-ไลน์อัพของ เดอะ มูดี้ บลูส์
นอกจาก จอห์น ลอดจ์ เป็นมือเบส เขายังเป็นนักร้องนำร่วมกับ จัสติน เฮย์เวิร์ด และเป็นนักแต่งเพลงคนสำคัญ เพลงดังของวงที่เขาแต่งก็อย่าง "Ride My See-Saw", "Isn’t Life Strange" และ "I’m Just a Singer (In a Rock and Roll Band)" ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเอกลักษณ์ในสุ้มเสียงร็อก-ซิมโฟนีของวง และมีอิทธิพลต่อวงโปรเกรสซีฟ-ร็อครุ่นต่อ ๆ มา ในช่วงที่วงหยุดพัก จอห์น ลอดจ์ และ จัสติน เฮย์เวิร์ด ร่วมกันทำอัลบั้ม Blue Jays ในปี 1975 นอกจากนี้เขายังทำงานเป็นโปรดิวเซอร์, บันทึกเสียง และออกทัวร์กับวงของตนเป็นระยะ จอห์น ลอดจ์ ออกอัลบั้มเดี่ยวมา 4 ชุด คือ Natural Avenue (1977), 10,000 Light Years Ago (2015), Days of Future Passed – My Sojourn (2023) และล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 นี้เอง คือ Love Conquers All จนกระทั่งวันที่ 10 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ครอบครัวของ ลอดจ์ ก็ประกาศว่า เขาเสียชีวิต “ฉับพลันและคาดไม่ถึง” ในวัย 82 ปี แต่ไม่ได้แจ้งว่าด้วยสาเหตุอะไร
วันนี้ไม่มี เดอะ มูดี้ บลูส์ และ จอห์น ลอดจ์ อีกแล้ว แต่ผลงานชั้นยอดที่พวกเขาสร้างไว้ในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อกยังคงอยู่ และจะยังอยู่ตราบเท่าที่มนุษย์ยังรู้จักเลือกสรรในการเสพดนตรีดี ๆ
#ดนตรี #TheMoodyBlues #JohnLodge #JustinHayward #ProgRock #ClassicRock #ทิวาสาระจูฑะ