ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ/ทหารประชาธิปไตย
ทวีปอาร์กติกกำลังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21 ภายใต้ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำแข็งละลายเร็วขึ้น ภูมิภาคนี้เปิดโอกาสใหม่ทั้งทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ที่ดึงดูดความสนใจจาก นาโต, รัสเซีย และ จีน ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างมีผลประโยชน์และกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการแย่งชิงอิทธิพลในภูมิภาคขั้วโลกเหนือนี้
มิติทางเศรษฐกิจ: ทรัพยากรและเส้นทางการค้า
ทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาล อาร์กติกเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การประเมินของสหรัฐอเมริการะบุว่าภูมิภาคนี้มีน้ำมันที่ยังไม่ได้สำรวจประมาณ 13% และก๊าซธรรมชาติ 30% ของปริมาณทั้งหมดในโลก นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุหายาก แร่เหล็ก ทองแดง นิกเกิล และแร่อื่นๆ ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่
การละลายของน้ำแข็งทำให้การเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ง่ายขึ้นและคุ้มค่าในเชิง เศรษฐศาสตร์ มากขึ้น รัสเซียได้ลงทุนอย่างมหาศาลในโครงการพลังงานในอาร์กติก โดยเฉพาะโครงการก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่คาบสมุทรยามาลและโครงการสำรวจน้ำมันในทะเลบาเรนตส์ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ
เส้นทางเดินเรือขั้วโลกเหนือ เส้นทางเดินเรือผ่านอาร์กติกมีศักยภาพในการปฏิวัติการค้าโลก ที่เรียกว่า เส้นทางเดินเรือทางตอนเหนือ (Northern Sea Route - NSR) ที่ผ่านชายฝั่งรัสเซียสามารถลดระยะทางการเดินเรือระหว่างยุโรปและเอเชียได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับเส้นทางผ่านคลองสุเอซ ซึ่งหมายถึงการประหยัดเวลา เชื้อเพลิง และค่าใช้จ่าย
จีนให้ความสนใจเส้นทางนี้อย่างมากและประกาศตัวเองเป็น "ประเทศใกล้อาร์กติก" (Near-Arctic State) ในปี 2018 โดยบรรจุเส้นทางขั้วโลกเหนือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ภายใต้แนวคิด "เส้นทางสายไหมน้ำแข็ง" (Polar Silk Road) จีนได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและร่วมทุนกับรัสเซียในหลายโครงการพลังงาน
มิติทางยุทธศาสตร์การทหาร
การทหารของรัสเซียในอาร์กติก รัสเซียถือว่าอาร์กติกเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญยิ่งทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยมีชายฝั่งยาวกว่า 24,000 กิโลเมตรในภูมิภาคนี้ มอสโก ได้เร่งสร้างความแข็งแกร่งทางทหารอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างฐานทัพใหม่ การบูรณะสนามบินและท่าเรือเก่า การจัดตั้งหน่วยทหารพิเศษสำหรับอาร์กติก และการพัฒนาอาวุธระบบใหม่
รัสเซียมีกองเรือเรือตัดน้ำแข็งที่ทรงพลังที่สุดในโลก รวมถึงเรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์หลายลำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมเส้นทางเดินเรือทางตอนเหนือ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สามารถทำงานในสภาพอากาศขั้วโลก
ความขัดแย้งในยูเครนของรัสเซียในปี 2022 ได้เปลี่ยนแปลงพลวัตความมั่นคงในอาร์กติกอย่างมาก แม้ว่าภูมิภาคนี้ยังคงความสงบด้วย สัมพันธภาพ ในระดับหนึ่ง แต่ความไว้วางใจระหว่างรัสเซียกับประเทศตะวันตกได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
การตอบสนองของนาโต นาโตเริ่มให้ความสำคัญกับอาร์กติกมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากรัสเซียผนวกไครเมียในปี 2014 และยิ่งเพิ่มความเข้มข้นขึ้นหลังสงครามยูเครน ประเทศสมาชิกนาโตที่มีอาณาเขตในอาร์กติก ได้แก่ นอร์เวย์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เดนมาร์ก (ผ่านกรีนแลนด์) และ ไอซ์แลนด์ โดยนอร์เวย์และ แคนาดา เป็นแนวหน้าในการเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของรัสเซีย
แต่การที่ฟินแลนด์และสวีเดนเข้าเป็นสมาชิกนาโตในปี 2023-2024 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้นาโตมีอาณาเขตติดกับรัสเซียในอาร์กติกเพิ่มขึ้นกว่า 1,300 กิโลเมตร และทำให้ทะเลบอลติกกลายเป็น "ทะเลภายในของนาโต" แทบทั้งหมด การขยายตัวนี้เสริมความแข็งแกร่งของนาโตในบริเวณอาร์กติกอย่างมีนัยสำคัญ
นาโตได้เพิ่มการซ้อม รบ ในภูมิภาคอาร์กติก เช่น การซ้อม Cold Response ในนอร์เวย์ที่มีกำลังพลหลายหมื่นนาย สหรัฐฯ ได้เร่งสร้างฐานทัพและเพิ่มกำลังในอลาสกา ขณะที่ แคนาดา เร่งพัฒนาขีดความสามารถในการเฝ้าระวังและลาดตระเวนในหมู่เกาะอาร์กติก แคนาดา
มิติจีนในสมการทางทหาร แม้จีนจะไม่มีดินแดนในอาร์กติก แต่ได้แสดงความสนใจทางยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน ปักกิ่ง เห็นอาร์กติกเป็นทั้งเส้นทางการค้าและพื้นที่แห่งโอกาสในการขยายอิทธิพล การที่จีนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอาร์กติกและร่วมมือกับรัสเซียทำให้ตะวันตกเกิดความกังวลว่าจีนอาจใช้สถานะทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือแสวงหาอิทธิพลทางยุทธศาสตร์
จีนได้ส่งเรือวิจัยและเรือตัดน้ำแข็งเข้าสำรวจในอาร์กติกหลายครั้ง และมีแผนสร้างเรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังร่วมมือกับรัสเซียในการฝึกซ้อมทางทหาร และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้วโลก ความร่วมมือระหว่างจีนกับรัสเซียในอาร์กติกได้เข้มแข็งขึ้นหลังสงครามยูเครน เมื่อรัสเซียต้องการตลาดและการลงทุนทางเลือกนอกจากตะวันตก
ความท้าทายและแนวโน้มในอนาคต
ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคามในอาร์กติก แม้น้ำแข็งที่ละลายจะเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็ทำลายระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชุมชนพื้นเมืองอาร์กติก การละลายของน้ำแข็งถาวรยังปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเร่งวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้รุนแรงยิ่งขึ้น
การแข่งขันที่ทวีความรุนแรง แนวโน้มการแข่งขันในอาร์กติกน่าจะรุนแรงขึ้นในทศวรรษหน้า เมื่อทรัพยากรเข้าถึงได้มากขึ้นและเส้นทางเดินเรือเปิดกว้างขึ้น ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับตะวันตกที่เกิดจากสงครามยูเครนทำให้บรรยากาศความร่วมมือในอดีตเปลี่ยนไป สภาอาร์กติก (Arctic Council) ซึ่งเคยเป็นเวทีความร่วมมือถูกระงับกิจกรรมหลังจากรัสเซียถูกตัดขาด อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงของ สภาอาร์กติก ยังคงยืนยันการห้ามสร้างฐานทัพหรือการติดตั้งอาวุธในพื้นที่ภาคพื้นทวีป แต่การที่สหรัฐฯ มีฐานทัพที่กรีนแลนด์ภายใต้ข้อตกลงกับเดนมาร์กก็นับเป็นความล่อแหลม ที่ยิ่งถูกตอกย้ำเมื่อ ทรัมป์ ประกาศจะยึดครองกรีนแลนด์
ความจำเป็นในการสร้างสมดุล การหาสมดุลระหว่างการแข่งขันทางยุทธศาสตร์กับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและวิทยาศาสตร์เป็นความท้าทายสำคัญ ปัญหาสิ่งแวดล้อม การค้นหาและช่วยเหลือ และความปลอดภัยทางทะเลต้องการความร่วมมือข้ามชาติ แต่บรรยากาศความไว้วางใจทางการเมืองที่เสื่อมลงทำให้ความร่วมมือเหล่านี้ยากขึ้น อาร์กติกได้กลายเป็นเวทีการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญของโลก ซึ่งสะท้อนความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจในวงกว้าง การตัดสินใจและนโยบายในภูมิภาคนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโลก เศรษฐกิจพลังงาน และอนาคตสิ่งแวดล้อมของโลก การที่รัสเซีย นาโต และจีนต่างมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันทำให้อาร์กติกเป็นพื้นที่แห่งการเจรจาต่อรองและการแข่งขันที่ละเอียดอ่อน
ความสำเร็จของการจัดการภูมิภาคนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการหาจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับความจำเป็นในการรักษาสันติภาพและปกป้องสิ่งแวดล้อม อาร์กติกจะยังคงเป็นพื้นที่ทดสอบความสามารถของประชาคมโลกในการจัดการความขัดแย้งและความท้าทายร่วมกันในศตวรรษที่ 21