เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลาง (Shutdown) ที่ดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ สูงสุดถึง สัปดาห์ละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการแก้ไขข้อมูลก่อนหน้านี้ของ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งเคยประเมินความเสียหายไว้สูงสุดถึง วันละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อก่อนหน้า
เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังชี้แจงว่า การประเมินตัวเลขล่าสุดนี้อ้างอิงจากรายงานของ คณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว (CEA) เพื่อสะท้อนผลกระทบที่แท้จริงต่อภาคเศรษฐกิจและการจ้างงาน
เบสเซนต์กล่าวในการแถลงข่าวว่า การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางที่ยืดเยื้อเริ่มส่งผลกระทบต่อ ความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคการลงทุนและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
“กระแสการลงทุนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงมีอยู่มาก แต่การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัว” เบสเซนต์กล่าว
เขาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมในงาน CNBC Forum ซึ่งจัดขึ้นข้างเคียงการประชุมประจำปีของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลก (World Bank) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยระบุว่า
“มีอุปสงค์รออยู่จำนวนมากในระบบเศรษฐกิจ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปลดปล่อยพลังเศรษฐกิจของประเทศผ่านนโยบายของเขา สิ่งเดียวที่กำลังฉุดรั้งการเติบโตตอนนี้คือภาวะชัตดาวน์”
ก่อนหน้านี้ เบสเซนต์ได้เรียกร้องให้ พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ร่วมมือกันหาทางออกเพื่อยุติการปิดหน่วยงานของรัฐโดยเร็ว พร้อมย้ำว่าความล่าช้าในการผ่านงบประมาณไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง แต่ยังสะเทือนต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย
#สหรัฐอเมริกา #เศรษฐกิจสหรัฐ #ชัตดาวน์ #ScottBessent #กระทรวงการคลังสหรัฐ #รัฐบาลทรัมป์ #ข่าวต่างประเทศ #USShutdown #เศรษฐกิจโลก #IMF #WorldBank #ข่าวเศรษฐกิจ #TrumpAdministration