กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง สำหรับเรื่องราว “ลูกต้องใช้หนี้แทนพ่อแม่” ที่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า จริงๆแล้วตามกฎหมาย ลูกต้องรับผิดในหนี้ของพ่อแม่หรือไม่?
1. “หนี้” เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ตกทอดถึงลูกโดยอัตโนมัติ
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 กำหนดว่า "ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน"
กล่าวง่ายๆก็คือ หนี้เป็นของผู้กู้หรือเจ้าของหนี้เท่านั้น ไม่ได้ติดตัวลูกหลานไปด้วย
2. ถ้าไม่ได้ร่วมกู้หรือค้ำประกัน — ลูกไม่ต้องชำระหนี้
หากลูกไม่ได้ลงชื่อในสัญญาเงินกู้ ในฐานะผู้กู้ร่วม หรือผู้ค้ำประกัน เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ์ตามทวงจากลูกได้ แม้จะเป็นลูกแท้ๆของลูกหนี้ เพราะกฎหมายถือว่า “หนี้เป็นภาระเฉพาะบุคคล”
หากมีเจ้าหนี้มาตามทวงโดยไม่มีหลักฐาน ให้ปฏิเสธได้ทันที และควรเก็บเอกสารสำคัญของพ่อแม่ไว้เป็นหลักฐาน เช่น สัญญากู้ ใบมรณบัตร หรือโฉนดทรัพย์สิน
3. ถ้ามีมรดก ลูกอาจต้องรับผิด “เท่าที่ได้รับ”
เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตและยังมีหนี้ค้าง เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องให้ชำระจาก “ทรัพย์มรดก” ก่อน
โดยลูกที่เป็นทายาทมีหน้าที่ชำระหนี้เฉพาะในส่วนของทรัพย์ที่ได้รับมรดกเท่านั้น
หากทรัพย์หมดก่อน หนี้ส่วนที่เหลือ ลูกไม่ต้องชำระเพิ่มจากทรัพย์ส่วนตัว
ตัวอย่าง: หากพ่อแม่มีบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท และหนี้ค้าง 7 แสนบาท เจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกชำระจากทรัพย์มรดกเท่านั้น (7 แสนบาท) ส่วนที่เกินจากนี้ ลูกไม่ต้องจ่าย
4. ระวัง “ค้ำประกันโดยไม่ตั้งใจ”
ในกรณีลงชื่อ “ค้ำประกัน” ให้พ่อแม่ที่หลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในทางกฎหมาย การค้ำประกันคือการ “ร่วมรับผิดในหนี้” อย่างเต็มรูปแบบ หากพ่อแม่ไม่ชำระ เจ้าหนี้สามารถฟ้องผู้ค้ำได้โดยตรง
ดังนั้นก่อนเซ็นเอกสารใดๆ ควรอ่านให้ละเอียด หรือปรึกษาทนายความก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาตามมาภายหลัง
5. ลูกมีสิทธิ์ “ปฏิเสธการรับมรดก” หากมรดกมีหนี้สินติดอยู่
หากทราบว่าทรัพย์มรดกของพ่อแม่มีหนี้ติดอยู่มากกว่าทรัพย์สินที่ได้รับ ลูกสามารถ ปฏิเสธการรับมรดก ได้ตามสิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อไม่ให้ต้องรับผิดในหนี้เหล่านั้น
โดยควรแจ้งต่อเจ้าพนักงานหรือศาลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้การปฏิเสธมรดกมีผลตามกฎหมาย
การรู้เท่าทันเรื่อง “หนี้” ไม่เพียงช่วยปกป้องสิทธิ์ของลูกหลานเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางแผนชีวิตและทรัพย์สินของครอบครัวอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ภาระของรุ่นก่อน กลายเป็นภาระที่ตกทอดถึงรุ่นต่อไป