รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิต และเป็น “กลไกแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคม” ที่ขับเคลื่อนประเทศผ่าน
องค์ความรู้ นวัตกรรม และการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน ความท้าทายของมหาวิทยาลัยประกอบด้วยการแข่งขันด้านอันดับหรือชื่อเสียง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือการสร้าง “คุณค่าทางสังคม” ที่จับต้องได้และยั่งยืน ซึ่งแนวคิดนี้สะท้อนชัดเจนในผลงานของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศที่ใช้แนวทาง “Social Return on Investment (SROI)” เพื่อวัดผลตอบแทนทางสังคมต่อการลงทุนในโครงการสำคัญ หรือที่เรียกว่า “Flagship Projects”
โครงการหลักของมหาวิทยาลัย (Flagship Projects) ในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการสร้างคุณค่าทางสังคมควบคู่กับความเป็นเลิศทางวิชาการ มหาวิทยาลัยอย่าง Harvard หรือ MIT มุ่งเน้นการวิจัยเชิงนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ขณะที่มหาวิทยาลัยในจีนอย่าง Tsinghua และ Peking University ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อยกระดับมาตรฐานสู่ระดับโลก ด้านเกาหลีใต้ มหาวิทยาลัยชั้นนำร่วมมือกันในโครงการ “Sustainable Campus Initiative” ที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่วนสหราชอาณาจักรมีตัวอย่างจาก University of Cambridge และ Durham ที่ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้และความยั่งยืน ซึ่งโครงการเหล่านี้มักมีค่า SROI เฉลี่ยระหว่าง 3:1 ถึง 5:1 แปลว่า ทุกหนึ่งหน่วยการลงทุนสามารถสร้างมูลค่าทางสังคมได้มากกว่าสามถึงห้าเท่า
ค่า SROI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยมหาวิทยาลัยประเมินผลลัพธ์ทางสังคมในเชิงตัวเลข โดยไม่ได้วัดเพียงรายได้หรือผลกำไร แต่สะท้อนถึงคุณค่าที่เกิดกับผู้คนและสังคมในระยะยาว เช่น โครงการ University to Tambon (U2T) ของประเทศไทย ที่มีค่า SROI 3.03 หรือโครงการ Healthy CMU ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีค่า SROI สูงถึง 5.39 ตัวเลขนี้บ่งบอกว่า มหาวิทยาลัยที่สามารถแปลงองค์ความรู้ให้เกิดผลกระทบทางสังคมในวงกว้าง ย่อมได้รับความเชื่อถือ ความศรัทธา และชื่อเสียงที่ยั่งยืน ซึ่งเป็น “ทุนทางสังคม” สำคัญของมหาวิทยาลัย
บริบทของประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยที่สามารถสร้างผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้รับการจัดอันดับ อันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับ Top 44 ของโลก จากการจัดอันดับ THE Impact Rankings 2025 ซึ่งประเมินผลงานของมหาวิทยาลัยตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ผลงานของจุฬาฯ โดดเด่นในหลายด้าน เช่น SDG 9 (นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งติดอันดับ 1 ของอาเซียน SDG 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) และ SDG 17 (ความร่วมมือเพื่อเป้าหมาย) ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการบูรณาการระหว่างงานวิจัย นวัตกรรม และการบริหารจัดการเชิงสังคมอย่างมีวิสัยทัศน์
เบื้องหลังความสำเร็จของจุฬาฯ คือการพัฒนา “นวัตกรรมเพื่อสังคม” ที่มุ่งแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การวิจัยพลังงานสะอาด และการพัฒนาหลักสูตรเชิงบูรณาการที่ส่งเสริมการคิดเชิงระบบ ความโดดเด่นของจุฬาฯ ปรากฏอยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ และขยายผลไปสู่ระดับการใช้จริงในชุมชน ทำให้มหาวิทยาลัยมี “ผลลัพธ์ทางสังคม (Social Outcomes)” ที่วัดได้และเป็นแบบอย่างของการสร้างชื่อเสียงด้วยการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
อีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อน “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” คือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ที่มุ่งเน้นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมสุขภาพ และการพัฒนาทักษะแห่งอนาคตของผู้สูงอายุ มศว ยังเป็นผู้นำในเวที Thailand Research Expo 2025 ด้วยผลงานวิจัยที่ได้รับรางวัลจากทั้งในและต่างประเทศ เช่น โครงการ
“อัญมณีแห่งเวียงโกศัย” ซึ่งผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับแนวคิด Soft Power ไทยอย่างสร้างสรรค์ แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้เป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมของประชาชน”
ทั้งจุฬาฯ และมศว ต่างแสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยยุคใหม่ต้องขยับจาก “ผู้ผลิตความรู้” ไปสู่ “ผู้สร้างคุณค่าร่วม (Co-Creator of Social Value)” โดยใช้หลักการของ SROI และ SDGs เป็นกรอบคิดสำคัญ การเชื่อมโยงระหว่างการวิจัย การเรียนรู้ และการบริการวิชาการต่อสังคมไม่ใช่กิจกรรมเสริม แต่คือ “พันธกิจหลัก (Core Mission)” ที่ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนระดับโครงสร้างของประเทศและโลก
เมื่อหันมามองมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ก็นับเป็นสถาบันอุดมศึกษาอีกแห่งหนึ่งที่มีผลงานเด่นสร้างชื่อในหลายมิติ ซึ่งจากการคัดเลือกผลงานดีเด่น 236 ผลงานของคนสวนดุสิตในรอบ 1 ปี จากผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่ามีผลงานที่สะท้อนพลังแห่งองค์ความรู้ นวัตกรรม และจิตสาธารณะที่ร่วมขับเคลื่อนคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน ประเทศ และสังคมโลกหลายรายการ อาทิ การยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมอาหารไทยสู่ระดับโลก การสร้างแหล่งเรียนรู้ “Long Kid Do” เพื่อพัฒนาเด็ก การขับเคลื่อนโครงการล่ามภาษามือชุมชน การท้าทายการทำงานภายใต้ข้อจำกัดของเวลา และการต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง ฯลฯ
ยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นมาตรวัดใหม่ของความสำเร็จ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องตั้งคำถามกับตนเองอยู่เสมอว่า “เรากำลังบริหารมหาวิทยาลัยเพื่อใคร และเพื่ออะไร?” การบริหารที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ระยะสั้นสามารถสร้างชื่อเสียงไว แต่การสร้าง “คุณค่าทางสังคม” จะทำให้มหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับในระยะยาว เพราะมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ต้องวัดจาก รอยยิ้ม ความหวัง และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนรอบตัว ซึ่งเป็นความท้าทายที่รอให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกคนขับเคลื่อนโจทย์นี้ด้วยการลงมือทำอย่างจริงจังครับ