“นายจ้าง”ขยาด “Gen Z” แห่ลาออกถี่-เปลี่ยนงานไว พึ่งพา AI มากเกิน เสี่ยงตกงานพุ่ง “สภาพัฒน์”เตือนจบปริญญาก็เตะฝุ่น
เพจ อีจัน ได้เผยแพร่ ข่าวสาร ระบุว่า สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานความเคลื่อนไหวทางสังคมรายไตรมาส 2/2568 เผยว่า การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรของไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วและปัญหาเด็กเกิดน้อยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Gen Z คือคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเกิดในช่วงปี 2539 – 2553 และขณะนี้มีอายุประมาณ 15 – 29 ปี จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะกำลังแรงงานหลักในอนาคต
สะท้อนได้จากข้อมูลของ McCrindle ที่พบว่าในปี 2568 กำลังแรงงาน Gen Z มีสัดส่วนอยู่ที่ 27% ของกำลังแรงงานทั่วโลก และคาดว่าภายในปี 2578 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31% ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มแรงงานหลักทดแทนแรงงานในช่วงอายุก่อนหน้าที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทย Gen Y และ Gen X จะยังคงเป็นกำลังแรงงานหลักของประเทศ โดยในปี 2567 มีสัดส่วนอยู่ที่ 35.1% และ 33.6% ตามลำดับ ขณะที่ Gen Z มีจำนวนอยู่ที่ 7.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของกำลังแรงงานทั้งหมด แต่ในอนาคต Gen Z จะกลายเป็นกำลังแรงงานหลักของประเทศ เพื่อทดแทนช่วงอายุก่อนหน้าที่เริ่มเกษียณออกจากตลาดแรงงาน
สอดคล้องกับข้อมูลของ Adecco ปี 2566 ที่คาดการณ์ว่า ภายในปี 2571 Gen Z จะมีสัดส่วนถึงประมาณ 1ใน 4 ของตลาดแรงงานไทย หรือเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 25% อย่างไรก็ตาม จากพฤติกรรม และทัศนคติในการทำงานของกลุ่ม Gen Z อาจเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการมีงานทำของแรงงานกลุ่มนี้ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า
1.ผู้ประกอบการมีความกังวลในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากทัศนคติและพฤติกรรมบางอย่างอาจสร้างผลกระทบต่อองค์กร อาทิ การลาออกหรือเปลี่ยนงานบ่อย ทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลสูงขึ้น ความคุ้มค่าของผลิตภาพและคุณภาพงานที่ได้ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานช้ามักจะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์และทักษะในการงาน
ซึ่งผู้ประกอบการบางส่วนอาจมองว่าไม่คุ้มต่อการจ้างงาน หรือได้งานที่ไม่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและสังคมระดับภูมิภาค ของมหาวิทยาลัย Sheffield Hallam ที่พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรมักจะเลือกจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์พร้อมสามารถปฏิบัติงานได้ทันที อีกทั้ง การจ้างบัณฑิตใหม่ยังต้องใช้ต้นทุนทรัพยากรในการฝึกอบรมมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับขนาดธุรกิจ
2.ความเสี่ยงที่เด็ก Gen Z จะว่างงานเพิ่มขึ้น แม้อัตราการว่างงานของเด็ก Gen Z จะมีแนวโน้มลดลง แต่เมื่อเทียบในรายกลุ่มอายุ ระดับการศึกษา และในภาพรวมประเทศ พบว่า กลุ่มนี้ก็ยังคงมีอัตราการว่างงานสูงที่สุดมาโดยตลอด โดยในปี 2567 Gen Z มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.8%
ขณะที่เมื่อพิจารณาตามระดับการศึกษา ยังพบว่า กลุ่มอุดมศึกษาเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดที่ 2.0% รองลงมาเป็น กลุ่มที่จบวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) และอาชีวศึกษา (ปวช.) ที่มีอัตราการว่างงานที่ 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ ทั้งที่อัตราการว่างงานในภาพรวมประเทศอยู่ที่เพียง 1.0%
3.การที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้ระบบการเรียนรู้ถดถอย ซึ่งจากผลสำรวจของ MIT ปี 2568 พบว่า การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้คิดเองน้อยลง สมองเฉื่อยลง สูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์ และคิดเชิงสร้างสรรค์ในระยะยาว
สอดคล้องกับงานสำรวจของ EY ปี 2024 ที่พบว่า Gen Z ทำคะแนนในด้านความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของ AI ได้ถึง 69 คะแนน แต่คะแนนด้านการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น การเขียนคำสั่ง) กลับได้เพียง 56 คะแนน และที่น่ากังวล คือ ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ต่อผลลัพธ์ที่ได้จาก AI เช่น การระบุข้อบกพร่อง การแยกแยะข้อมูลที่สร้างโดย AI กลับทำคะแนนได้เพียง 44 คะแนนเท่านั้น
โดยเหตุผลมาจาก ลักษณะเฉพาะของคนกลุ่มนี้ ชี้ให้เห็นว่าทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงานของ Gen Z มีความน่าสนใจและแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าอย่างมาก โดยในกรณีของไทย พบว่า
1. Gen Z บางส่วนเลือกจะไม่เรียนต่อ เนื่องจากมีความกังวลต่อระบบการศึกษาในหลายด้านมากขึ้น แม้ประเทศไทยจะมีนโยบายส่งเสริมให้เด็กไทยเข้าถึงระบบการศึกษาในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เด็ก Gen Z บางส่วนกลับมองว่า การศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาอาจไม่ตอบโจทย์หรือไม่ใช่ทางเลือกหลักในการประกอบอาชีพ
จากผลสำรวจ Deloitte ปี 2568 พบว่า Gen Z ในไทยกว่า 16% ตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เนื่องจากส่วนใหญ่รู้สึกกังวลต่อคุณภาพการศึกษา (48%) ค่าเล่าเรียนแพง (44%) ตลอดจนคิดว่าระบบการเรียนไม่มีความยืดหยุ่นเท่าที่ควร (19%) นอกจากนี้ บางส่วนยังกลัวว่าจะจ่ายหนี้กู้ยืมการศึกษาไม่ไหว (26%)
2.การเข้าสู่ตลาดแรงงานช้าลง หากพิจารณาระยะเวลาการว่างงานของ Gen Z ในไทย พบว่าในปี 2557 สัดส่วน Gen Z ที่ว่างงานมากกว่า 1 ปี อยู่ที่ 1.2% และเพิ่มเป็น 13.6% ในปี 2567 โดยสูงกว่าทุกช่วงอายุก่อนหน้า ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ยังพบว่า Gen Z มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดที่ 48.5%
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับการค้นหาตัวเอง จากการทำ Gap Year เพื่อออกมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ (วีระชน แจ่มจันทร์, 2566) สอดคล้องกับผลการสำรวจของ Applied ปี 2566 ที่พบว่า 47% ของ Gen Z คิดว่า การมี Career Break ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นอีกทั้งยังช่วยให้สามารถกลับมาทำงานได้เต็มที่มากขึ้น
3.Gen Z มีความเป็นผู้ประกอบการในตัวเองสูง จากข้อมูลการสำรวจภาวการณ์ทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า Gen Z หันไปทำธุรกิจส่วนตัวแทนการทำงานในระบบเพิ่มขึ้นจากในอดีต โดยก่อนสถานการณ์ COVID-19 Gen Z เลือกทำงานเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้างในสัดส่วนเฉลี่ยที่ประมาณ 0.4% ต่อปี ขณะที่ตั้งแต่ช่วงปี 2563 ถึงปัจจุบัน มีสัดส่วนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 1.8% ต่อปี
สอดล้องกับผลสeรวจของ Intelligent ปี 2022 ที่พบว่า ร้อยละ 60 ของเด็กจบใหม่ต้องการเป็นเจ้านายตัวเอง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความต้องการอิสระ การทำในสิ่งที่ชอบ และการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์/ข้อจำกัดของการทำงานประจำสะท้อนถึงการมีความคิดริเริ่มและกล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น (Business Plus, 2567
4.จริยธรรม คุณค่า และ Work-Life Balance เป็นปัจจัยหลักที่ Gen Z ให้ความสำคัญที่สุด จากข้อมูลการสำรวจของ Deloitte ปี 2567 พบว่า 55% ของ Gen Z ในไทยมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธงานที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับงานที่มีคุณค่าและงานที่มี Work-Life Balance
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาด้านความภักดีต่อองค์กร ยังพบว่า Gen Z ไม่ยึดติดกับองค์กรเมื่อเทียบกับแรงงานรุ่นก่อนหน้า โดยพร้อมที่จะเปลี่ยนงานหากพบว่าบริษัทไม่ตอบสนองความต้องการ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากอัตราการลาออกจากงานของคน Gen Z ในไทยที่เพิ่มขึ้น 12 – 15% มากกว่าอัตราเฉลี่ยการลาออกจากงาน ในภาพรวมที่อยู่ที่ประมาณ 10% (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 2564)