วันที่ 14 ตุลาคม 2568 ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เขตหลักสี่ นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาเปิดประเด็นปัญหาการค้างชำระหนี้ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง โดยย้ำว่า ตนทำหน้าที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เพื่อสะท้อนความเดือดร้อนของโรงพยาบาลทั่วประเทศ แม้ตนจะรู้สึกโกรธและถึงขั้นรังเกียจผู้บริหารและกรรมการบอร์ดบางคนในสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แต่ก็ไม่เคยรังเกียจประชาชน และประชาชนต้องไม่เป็นตัวประกันของ สปสช. โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจึงจะยังคงให้บริการประชาชนต่อไป และไม่เลิกจากระบบบัตรทอง แต่ช่วยไม่ได้ทั้งหมด โดยให้ประชาชนบางส่วนจ่ายค่ารักษาเองในราคาโรงพยาบาลของรัฐ
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เหรียญทอง ได้กล่าวถึงสถานการณ์ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่า วันนี้ระบบไม่ได้ล่มสลาย แต่มีรอยร้าว และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เร่งซ่อมด่วน ระบบก็จะถล่มลงมา ซึ่งผู้ที่จะเดือดร้อนมากที่สุดคือประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังซับซ้อน โรคร้ายแรง กลุ่มเปราะบางทางสังคม หญิงตั้งครรภ์ เด็ก และคนพิการ
ด้านปัญหาหนี้ค้างชำระมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยหนี้ในปีงบประมาณ 2563 (ซึ่งมาจากการยกเลิกคลินิกแล้วขอให้โรงพยาบาลช่วยตรวจ) นั้นยังไม่คืบหน้าใด ๆ หนี้ก้อนนี้มีมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท และตนเชื่อว่าหากศาลปกครองดำเนินคดี จะชนะคดีอย่างแน่นอนและต้องได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563
ส่วนหนี้ในปีงบประมาณ 2567 มีอีกประมาณ 40 กว่าล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการรอหลักฐานเพื่อดำเนินการฟ้องร้อง รวมหนี้สะสมที่โรงพยาบาลเผชิญอยู่จึงมีมูลค่ารวมมากกว่า 100 ล้านบาท
สาเหตุหลักของปัญหาเกิดจากงบประมาณไม่เพียงพอ เพราะการเจ็บป่วยยากต่อการประมาณการ นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากนโยบายทางการเมืองที่เป็นการประชานิยมหาเสียง และเพิ่มสิทธิประโยชน์เหนือความคาดหมาย ทำให้เกิดภาระแก่หน่วยบริการ ซึ่ง สปสช. ต้องรู้จักคำว่าปฏิเสธฝ่ายการเมือง เมื่อไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายได้
นายแพทย์เหรียญทองระบุว่า ตนไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที เนื่องจากเคยพึ่งกระบวนการศาลปกครองมาตั้งแต่ปี 2564 แล้ว แต่คดีหนี้ปี 2563 ก็ยังไม่คืบหน้าใด ๆ แนวทางที่ดีที่สุดคือการฟ้องประชาชนและสื่อมวลชน และต้องการให้ สปสช. มาเจรจา สรุปยอดหนี้ให้ชัดเจน และขอให้ปฏิบัติตามกติกาที่ตกลงกันไว้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ปี 2567 โดยทางโรงพยาบาลยินดีให้ สปสช. ผ่อนชำระหนี้เป็นเวลา 5 ปีได้
เนื่องจากความไม่คืบหน้าและการเพิกเฉยของ สปสช. โรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องประกาศหยุดการให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ทอดทิ้งประชาชน โรงพยาบาลได้วางแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยเปราะบาง โดยจะเปิดให้ผู้สูงอายุ โรคร้ายแรง และกลุ่มเปราะบางทางสังคม มาขึ้นทะเบียนตรงกับโรงพยาบาล โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และให้จ่ายเงินเองในราคาโรงพยาบาลรัฐบาล โดยลดให้เพิ่มอีก 5% ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาในระยะเวลานานขึ้น เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือเป็นปี ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งนี้ รายได้จากระบบบัตรทองคิดเป็นเพียงประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดของโรงพยาบาล
นายแพทย์เหรียญทองเปิดเผยด้วยว่ามีข่าวลือว่า สปสช. กำลังหาทางเลิกสัญญากับโรงพยาบาล และได้มีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะใช้งบกลางมาแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งตนเห็นด้วยกับแนวทางของนายกรัฐมนตรี แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับอานิสงส์ในการแก้ปัญหาหรือไม่