ท่าทีขึงขังจาก “พรรคประชาชน” กำลังถูกจับตาว่า จะเอาจริง ตรวจสอบ “พรรคภูมิใจไทย” และ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เมื่อไหร่ !?
ภายหลังการเข้ามาบริหารประเทศ ผ่านไปยังไม่ทันครบเดือน ปรากฏว่า MOA อันเป็น “ข้อตกลง” ที่ทำร่วมกันระหว่าง “พรรคประชาชน” กับ “พรรคภูมิใจไทย” กำลังถูกฝ่ายหลังท้าทายว่ามีอะไรที่จะสำเร็จกี่ข้อ แล้วทำไปทำมา พรรคสีส้ม จะได้อะไร จากการเทเสียง “151 สส.” โหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน ได้เป็นนายกฯคนที่ 32 บ้าง

ความหวังของ พรรคประชาชน ที่ทำให้ต้องนำมาสู่การตัดสินเลือก โหวตให้พรรคภูมิใจไทย แทน พรรคเพื่อไทย นั้นอยู่ที่ความหวังที่การแก้รัฐธรรมนูญ เพราะมองว่า นี่คือ “อุปสรรคใหญ่” และขณะเดียวกัน ในห้วงเวลานั้น ยังมีการผุดกระแส “บีบ” ให้พรรคส้มต้องเลือกพรรคสีน้ำเงิน เพราะมีข่าวว่าหากยังไม่เลือกอนุทิน โอกาสที่จะมี “นายกฯคนนอก” เข้ามาแล้ว “อยู่ยาว” ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น
แต่ปัญหาที่กำลังกลายเป็น “แรงกดดัน” ทำให้พรรคประชาชน ถูกตั้งคำถามคือการทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” การบริหารงานของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทั้งที่ถูกมองว่า มีทั้งที่ “ขัด” กับ MOA และแม้ไม่ขัด แต่กำลังกระทบกับหลักในการบริหารงานของรัฐบาลหรือไม่
ทั้งการที่บรรดา “นักการเมือง” ต่างพรรค ทยอยตบเท้าเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย กันอย่างคึกคัก แม้แกนนำพรรคภูมิไทย จะให้เหตุผลว่าเป็นการ “เตรียมตัว” เพื่อรับเลือกตั้งครั้งหน้าก็ตาม แต่อย่าลืมว่า 1 ใน 5 ข้อตามเงื่อนไขของ MOA คือการห้ามเติมเสียงให้กับรัฐบาล จนกลายเป็นการเพิ่มเสียงไปสู่ “รัฐบาลเสียงข้างมาก”
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหว “จัดแถว” ข้าราชการในกระทรวงต่างๆ ที่มีขึ้นในการประชุมครม. โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ยังไม่นับในส่วนของการแต่งตั้งบุคคลเข้าไปนั่งในเก้าอี้ต่างๆตามกระทรวง และล่าสุด ยังพบว่าการประชุมครม.วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งโยกย้าย “บิ๊กข้าราชการ” ด้วยกัน 45ราย
โดยที่ 45 รายที่ผ่านมติครม.วันนี้ มีทั้งในลักษณะของการ “ย้ายล้างบาง” รื้อคนที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัยรัฐบาล “แพทองธาร” มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” เคยนั่งเป็น “มท.1” แต่เมื่อวันนี้สีน้ำเงินกลับมาคุมมหาดไทย กลายเป็นการ “คืนตำแหน่ง” ให้กับบิ๊กมหาดไทยที่ถูกจับตาว่า ใกล้ชิดกับ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” และพรรคสีน้ำเงิน รวมทั้งบางราย ยังอยู่ในฐานะ “เครือญาติ” กับคนในรัฐบาลอีกด้วย
เสียงเรียกร้องให้พรรคประชาชน ทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน” ด้วยการตรวจสอบรัฐบาล โดยใช้เวทีสภาฯ อย่างการ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปเช่นนี้ จนครบ 4 เดือน จากนั้น นายกฯอนุทิน ประกาศ “ยุบสภาฯ” ในปลายเดือนม.ค.2569
อย่างไรก็ดี "ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" หัวหน้าพรรคประชาชน ยืนยันว่า พรรคจะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ไม่หยุดทำหน้าที่แน่นอน ในระหว่างนี้ถ้าเห็นว่ามีการดำเนินการอย่างหนึ่งหนึ่งอย่างใดของรัฐบาล ที่อาจทำให้ประเทศเสียหาย โดยที่ไม่สามารถเรียกคืนความเสียหายเหล่านั้นกลับมาได้อีก พรรคประชาชนจะเดินหน้าอย่างเต็มที่

“อย่างกลไกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่เราเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าใครได้รับผลกระทบของการใช้อำนาจของรัฐบาล เช่น การแต่งตั้งโยกย้าย ก็สามารถให้ข้อมูลมายังพรรคประชาชนได้”
นอกจากนี้ ณัฐพงษ์ ยังย้ำว่า 1ในเงื่อนไขที่พรรคส้มโหวตให้อนุทิน นั่งนายกฯ มาจากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้หมายความว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไปแลกกับความเสียหายในประเทศทุกเรื่อง
สถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ แม้จะดูไม่ปกติ เพราะ “ฝ่ายค้าน” มีทั้งพรรคประชาชน ที่ไปข้อตกลงกับ พรรคภูมิใจไทยจนเกิดเป็น รัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่อีกด้านหนึ่ง ในปีกของฝ่ายค้าน ก็ยังมี “พรรคเพื่อไทย” ที่ประกาศไม่ทำงานกับพรรคประชาชน แต่จะขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านเอง ก็ดูจะมีความพร้อมเตรียมการ “ยื่นซักฟอก” รัฐบาลเช่นกัน
เท่ากับว่า สภาวการณ์ “สามเส้า” ระหว่าง “แดง -ส้ม -น้ำเงิน” จึงชุลมุน แต่ที่ชัดเจนคือโอกาสที่ พรรคภูมิใจไทย มีโอกาส จะถูกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งจาก ส้ม และ แดง ได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ จาก “สีแดง” ที่พร้อมจะปิดเกม ด้วยความแค้น !