“ปชน.” พร้อมอภิปรายแก้ รธน. 2 วันเต็ม มั่นใจสู้ทุกวาระ แม้ร่างใดเป็นร่างหลัก ยืนยันสัดส่วน กมธ. ไม่มีใคร กินรวบได้ ย้ำจุดยืนแข็งกร้าว แม้พรรคโหวต “อนุทิน” ภายใต้เงื่อนไขแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ใช่การแลกกับความเสียหายของชาติ “ณัฐพงษ์” ชี้หากรัฐบาลเดินเกมผิด ทั้งปัญหาชายแดน เศรษฐกิจ หรือยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม พรรคประชาชนไม่ยอมแน่! พร้อมใช้กลไก “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” เต็มรูปแบบทันที
วันที่ 14 ต.ค.2568 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 14-15 ต.ค.นี้ว่า ในการอภิปราย 2 วันนี้ได้เตรียมเนื้อหาหลักที่จะแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความจำเป็นในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาระบบการเมืองต่างๆ แล้ว ยังมีการแก้ไขปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิตของทุกคนด้วย ทำอย่างไรจะสามารถจะให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ให้กับประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่ารัฐบาลยืนยันจะใข้ร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลัก หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า พรรคประชาชนก็จะเสนอเป็นร่างหลัก ซึ่งเป็นสิทธิ์ของทุกพรรค ซึ่งผลสุดท้ายจะต้องขึ้นอยู่กับผลการลงมติในวันพรุ่งนี้ เมื่อมีการรับทุกร่างเข้าไปตามแนวโน้มแล้วจะต้องมีการโหวตอีกหนึ่งครั้งเพื่อเลือกว่าจะใช้ร่างใดเป็นร่างหลัก
เมื่อถามว่ามีการพูดคุยกับรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีอยู่แล้ว และจะให้เหตุผลตลอดทั้งสองวัน ในส่วนของวิปก็จะมีการพูดคุยเจรจากันโดยตลอด หากไม่สามารถหาจุดลงตัวร่วมกันได้ในท้ายที่สุดก็ต้องดูที่ผลการลงมติในการโหวตร่างในพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตามพรรคประชาชนได้เตรียมเนื้อหามาอย่างเข้มข้น สิ่งสำคัญที่จำเป็นในขณะนี้คือการทำให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งในส่วนของพรรคประชาชนเอง ได้เตรียมเนื้อหาในส่วนนี้ไว้ค่อนข้างครบถ้วน และครอบคลุมถึงการแก้ไขปัญหาใกล้ตัว หรือปัญหาหน้าบ้านที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ การแก้ไขระบบการถ่วงดุลและตรวจสอบ เพื่อทำให้ประเทศมีความโปร่งใส การป้องกันไม่ให้กลไกของศาลและองค์กรอิสระถูกใช้เป็นอาวุธทำลายล้างกันทางการเมือง และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการส่งเสริมการศึกษาและการรักษาต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยหรือรัฐไทยดูแลประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน หรือพรรคภูมิใจไทย จะต้องอยู่ภายใต้กรอบของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งได้กำหนดไว้แล้วว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ร่างของทุกพรรคไม่ได้มีความแตกต่างกันในประเด็นพื้นฐานนี้ ดังนั้นการมีข้อคิดเห็นที่ว่าไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 จึงไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญแต่ประการใด เพราะฉะนั้นจากการติดตามการให้ข้อคิดเห็นของพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจและสว.ทิศทางมีแนวโน้มที่จะรับทุกๆร่าง เพราะฉะนั้นการอภิปรายทั้ง 2 วันนี้จะต้องมีการติดตามและรับฟังเหตุผลของแต่ละส่วน เพราะฉะนั้นเราวิเคราะห์ได้ว่าร่างใดยึดโยงกับประชาชนมากน้อยกว่ากัน เพราะหลายคนมองว่าร่างของพรรคภูมิใจไทยยึดโยงกับประชาชนน้อยหน่อย
“ผมยืนยันว่าถึงแม้พรุ่งนี้ร่างใครจะเป็นร่างหลักก็ตาม สิ่งที่เรายังผลักดันได้คือการพิจารณาในวาระ 2 และวาระ 3 สัดส่วนของกรรมาธิการในแต่ละฝ่ายเท่าที่เรารู้ลองคำนวณมาดูเป็นสัดส่วนที่มีความสมดุล ไม่ได้หมายความว่าร่างใดเป็นร่างหลัก แล้วเราไม่สามารถผลักดันร่างรัฐธรรมนูญยึดโยงกับประชาชนได้มากขึ้น ก็ต้องไปสู้ต่อในวาระ 2 และวาระ 3 และเมื่อส่งกลับมาในที่ประชุมรัฐสภา ถ้าร่างรวมที่ออกมาของทุกๆพรรค หากพรรคประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ก็ไม่ลงมติยอมรับได้ในวาระ 3 ได้เช่นเดียวกัน”นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แม้ สส.จะเห็นไปทางเดียวกันแต่ในส่วน สว. จะถูกมองว่าเป็นการตีกินหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ห่วงว่าเป็นการตีกิน เพราะในสัดส่วนของกรรมาธิการไม่มีใครสามารถตีกินได้ อย่างไรก็ตาม สว.ส่งสัญญาณโหวตรับทั้ง 3 ร่าง ต้องดูว่ามีใครสามารถเข้าไปพูดคุยได้หรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของทุกพรรคที่ต้องพูดคุยกับสมาชิกรัฐสภาทุกฝ่าย แต่หนึ่งในนั้นคือคนที่อยู่ใน MOA คือ นายอนุทินชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เชื่อว่าการจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านทั้ง 3 วาระ นายอนุทินก็เป็นส่วนสำคัญที่ไปทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน
เมื่อถามย้ำว่าหมายความว่า สว.โหวตให้เพราะสนับสนุนนายอนุทินใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเองไปพูดแบบนั้นอาจจะขัดหลักการทุกคนประเมินเอาดีกว่า พรรคภูมิใจไทยก็คงยอมรับในที่สาธารณะไม่ได้ ส่วนนายอนุทินมีผลหรือไม่นั้น ต้องไปประเมินเอา แต่เชื่อว่า ประชาชนเล็งเห็นได้ว่าการตัดสินใจของพรรคประชาชนที่โหวตให้นายอนุทิน ทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างมีนัยสำคัญจาก 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
เมื่อถามว่า มองว่ามีการล็อกสเปกการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สัดส่วนของกรรมาธิการไม่มีใครสามารถกินรวบได้ ดังนั้นจะกินรวบหรือไม่ขอให้ดูการทำหน้าที่ของกรรมาธิการ ส่วนกฎหมายประชามติฉบับใหม่ยังไม่ประกาศใช้ หากต้องเดินหน้าทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประเมินว่าร่างประชามติจะประกาศใช้ทัน ทั้งนี้กระบวนการส่งร่างรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการทำประชามติ ต้องรอดูว่าพ.ร.บ.ประชามติจะประกาศใช้เมื่อไหร่ เพื่อไม่ให้มีข้อขัดข้องทางกฎหมาย
เมื่อถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระแรก แล้วต้องรอจนถึงวาระที่ 3 จะทำให้เกิดช่องว่างของการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า จะไม่หยุดทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ในระหว่างนี้ถ้าเราเห็นว่ามีการดำเนินการอย่างหนึ่งหนึ่งอย่างใดของรัฐบาล ที่อาจทำให้ประเทศเสียหาย โดยที่ไม่สามารถเรียกคืนความเสียหายเหล่านั้นกลับมาได้อีก พรรคประชาชนจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ เช่น กลไกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่เราเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าใครได้รับผลกระทบของการใช้อำนาจของรัฐบาล เช่น การแต่งตั้งโยกย้าย ก็สามารถให้ข้อมูลมายังพรรคประชาชนได้
เมื่อถามย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นเงื่อนไขให้ไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้การโหวตนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้เงื่อนไข MOA มีเป้าประสงค์ในการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสามารถเอาไปแลกกับความเสียหายในประเทศทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น การดำเนินการทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขชายแดนไทย-กัมพูชา การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง หรือไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากรัฐบาลนำอำนาจไปใช้ทำให้ประเทศไทยเสียหาย เราเองก็ไม่สามารถที่จะยอมได้