สัมภาษณ์ “มาริโอ้ เมาเร่อ”หวนคืนคาแร็กเตอร์ “เสือมเหศวร” บทที่โหดที่สุดในชีวิตและครั้งนี้จะโหดและมันส์เป็นทวีคูณใน “เสือ” ภาพยนตร์แอ็กชันไทยฟอร์มยักษ์แห่งปี
แจ้งเกิดระดับตำนานจากภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าเรื่อง “รักแห่งสยาม” (2550) จนทำให้นักแสดงหนุ่มหล่ออารมณ์ดี “มาริโอ้ เมาเร่อ” ฮอตข้ามคืนโด่งดังข้ามประเทศ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลด้านการแสดง รวมถึงกวาดรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากหลากหลายสถาบันทั้งในและต่างประเทศมาครอง หลังจากนั้นก็มีผลงานภาพยนตร์ที่น่าจดจำออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก” (2553), “อุโมงค์ผาเมือง” (2554), “พี่มากพระโขนง” (2556) และ “Low Season สุขสันต์วันโสด” (2563) เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” อยู่หลายเรื่องจนเข้าขากันได้ดีอย่าง “Take Me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน” (2559), “ขุนแผน ฟ้าฟื้น” (2562) และ “ขุนพันธ์ 3” (2566)

หนุ่มนักแสดงขึ้นหิ้งรายนี้ยังคงมีผลงานการแสดงอย่างสม่ำเสมอ และยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของช่องยูทูบ Mario World กับรายการ “โอ้ลั้นลา” (Oh Lunla) ที่เผยถึงตัวตน งานอดิเรก และความสนุกสนานของเขาได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด กลับมารับบท “เสือมเหศวร” ที่เขาบอกว่าโหดที่สุดในชีวิตในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์เรื่อง “เสือ” (2568) ที่ครั้งนี้จะบู๊หนัก รักสนุก คลุกวงในความโหดยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน

พอรู้ว่ามีโปรเจกต์เรื่อง “เสือ” ภาคแยกของ “ขุนพันธ์” ความรู้สึกแรกเป็นยังไงบ้างรู้สึกท้อนะครับ (หัวเราะ) รู้สึกว่ามันต้องเหนื่อยแน่ เราเจอ “ขุนพันธ์” มาแล้ว เรารู้ว่ามันโหด เป็นกองถ่ายที่ทำงานกันหนักสุดในทุกด้าน แต่พอได้อ่านบท “เสือ” แล้วรู้สึกตื่นเต้น อยากรู้ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน จะเป็นช่วงเวลาไหนของเสือที่เขาจะเอามาเล่าในโปรเจกต์ แล้วจะได้มาเจอกับ “พี่เป้”, “พี่โน่”, “พี่เวียร์” มันไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องเล่นครับ
โดยเรื่องนี้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนใน “ขุนพันธ์” เป็นช่วงที่ “เสือมเหศวร” ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ ยังทำงานเป็นพนักงานในสำนักพิมพ์ นักเขียนคอลัมน์ เขายังเด็กอยู่ในช่วงอายุที่ห่างจากตอนขุนพันธ์ มีความหนุ่ม มีความเฟรช ในอุดมการณ์ก็ยังไม่ได้มีเยอะเท่าตอน “ขุนพันธ์ 3” ในเรื่องนี้จะเป็นการเล่าย้อนถึงปมในใจเขาในช่วงวัยรุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง วันนี้ถึงได้เป็นเสือมเหศวร ถึงจะไม่เคยได้ดูขุนพันธ์มาเลยสักภาค มาดูเรื่องเสือก็เข้าใจนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องราวที่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเผยให้เห็นตัวตนเขาก่อนที่จะมาเจอกับขุนพันธ์ และการต่อสู้ สกิลที่เขามีว่าเก่งกาจแค่ไหน แต่อาจจะต้องเริ่มเรียนรู้ว่าแต่ละคนมีคาถาอาคมอะไรของเขาที่จะเอามาสู้กันครับ
“เสือ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
ในมุมของโอ้นะครับ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นช่วงสงครามโลก มันมีเหตุการณ์ในชนชั้นปกครองที่ผิดปกติ พวกรัฐบาล นักการเมือง บ้านเมืองมันวุ่นวาย ไม่เป็นมิตรกับประชาชนเท่าไหร่ แต่ในส่วนของ “มเหศวร” ยังคงทำงานที่สำนักพิมพ์ที่เป็นงานหลักของเขา มีงานที่ตามสืบเรื่องของรัฐบาล การคดโกง ความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น ทำให้เขาได้ไปเจอกับ “รสริน” ที่เป็นดาราดังอยู่ในตอนนั้น ตามสืบจนรู้ว่ารสรินมีแผนว่าจ้างพวกเสือเพื่อโค่นอำนาจรัฐบาล “จอมพล” ตัวมเหศวรเองเลยลงไปเล่นเกมนั้นด้วย จึงทำให้ “4 เสือ” ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันต้องมารับงานเดียวกัน และต้องแย่งชิงภารกิจนี้กับเสือคนอื่นเพื่อเงินก้อนโต เลยเกิดเรื่องราววุ่นวายในหมู่โจรขึ้น แต่การที่เสือที่มีอาคมเก่งกล้า มีอาวุธคู่ใจและสกิลต่างๆ รอบตัวจะไปต่อกรกับจอมพลก็เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะจอมพลส่งทั้ง “หลวงประสาน” และ “เสือฝ้าย” ลงมาเล่นในเกมนี้ด้วย ความมันส์และความแฟนตาซีของหนังเรื่องนี้เลยดุเดือดจนห้ามพลาดซักฉากครับ
บทบาท-คาแร็กเตอร์
“เสือมเหศวร” ภายนอกจะดูนิ่งๆ แต่เป็นคนมีไหวพริบดี มีทักษะค่อนข้างเยอะหลากหลายสกิลหลบเลี่ยง คล่องแคล่วว่องไว มีคาถาแคล้วคลาด ที่ต้องอมพระมเหศวรเวลาต่อสู้ ทำให้หลบหลีกหลบหนีอาวุธของคู่ต่อสู้ได้อย่างพลิ้วไหว มีวิชาลิงลมที่ทำให้เขาเป็นคนค่อนข้างว่องไวมาก และสามารถจะเปลี่ยนคาแร็กเตอร์ตัวเองได้หลากหลายแบบไม่ซ้ำเดิม เชี่ยวชาญการปลอมตัว ประดิษฐ์อุปกรณ์การต่อสู้ อุปกรณ์ลับ ซ่อนกลไก ดัดแปลง พัฒนาต่อยอดสิ่งของต่างๆ ได้ตลอด เพื่อเพิ่มออปชันให้ตัวเองตลอดเวลา เป็นคนที่ฉลาด วางแผนเก่ง
นอกจากมเหศวรจะใช้ปืนเล็กที่เขาถนัดแล้ว ในภาคนี้จะมีอุปกรณ์เด่นๆ ของเขาที่เพิ่มเข้ามาเป็นมีดที่ปลายเท้า มีดเล็ก ปืนเล็ก ปืนไฟที่ซ่อนอยู่ตามตัว มีไหวพริบในการสร้างกลไกต่างๆ อะไรที่เขาหยิบจับมาสามารถดัดแปลงได้เป็นสิ่งที่ของที่ช่วยชีวิตหรือเป็นอาวุธลับได้ตลอดเวลา เราจะเห็นมันสมองของเขามากกว่าเดิม เห็นอาวุธที่ซ่อนอยู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในเรื่องนี้
ภาคนี้จะมีส่วนของการใช้ศิลปะการต่อสู้มากกว่าเดิม มีความพร้อมในการกลับมาในครั้งนี้ยังไงบ้าง
ต้องเตรียมพร้อมเยอะมากเลยครับ เพราะภาคนี้จะมีคิวบู๊หลายแบบ หลายฉาก 4 เสือต้องสู้กันเอง สู้กับคนอื่น และเทคนิคการถ่ายทำใหม่ๆ ของ “พี่โขม” (ก้องเกียรติ โขมศิริ-ผู้กำกับ) ที่เพิ่มเข้ามา พวกเราทั้ง 4 เสือเลยต้องมีการซ้อมกันอยู่เป็นประจำ ต้องคอยฟิตร่างกายเอาไว้ตลอด ไปยืดเส้นซ้อมกันล่วงหน้ากับพี่สตันต์, พี่เป้, พี่โน่, พี่เวียร์
และอย่างที่บอกครับ ผมไม่เคยเห็นเทคนิคใหม่ของพี่โขมที่เราถ่ายทำกันในเรื่อง “เสือ” นี้มาก่อน พี่ตากล้องมาบอกว่า โอ้อย่าเพิ่งตกใจกับวิธีการนะ มันเป็นเทคนิคใหม่ที่เรายังไม่เคยลองมาก่อน การจะบู๊ของโอ้มันจะฝืนจากความจริง ค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกัน การเล่นทั้งสโลว์ เล่นแบบสปีด การรอจังหวะร่วมกันของเราและกล้อง
โอ้ผ่านคิวบู๊ยากๆ มาเยอะแล้วนะครับ แต่อันที่ยากสำหรับโอ้คือความแคล้วคลาดของ “เสือมเหศวร” นี่แหละครับ ด้วยที่เขามีคาถาลิงลม ทำให้วิ่งหนีเก่ง หลบเก่ง ทีนี้มเหศวรก็วิ่งไปทั่ว วิ่งหนีกระสุนคตของ “เสือใบ” (เป้ อารักษ์) เขายิงทีไรงานเข้าทุกที กระสุนนำวิถีตามไปทุกที่ไม่มีเบรก และในทางเทคนิคการถ่ายทำ ผมต้องขึ้นไปวิ่งบนเทรดมิล (Automatic Treadmill) แล้วมีรถ ATV ลากอีกที มีกล้องอยู่บนรถอีกคันที่วิ่งไปด้วยกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในตึกเซตขึ้นมา ฉากนี้ถือเป็นที่สุดสำหรับโอ้ วิ่งขาสับเลยครับ วิ่งเยอะที่สุดตั้งแต่ถ่ายหนังมา วิ่งทั้งวันอยู่ในนั้น ในขณะที่พี่เป้ปล่อยกระสุนคตแล้วก็ยืนดูหล่อๆ เฉยเลย กราบการทำงานของทีมเบื้องหลังเรื่องนี้เลย ไหนจะเอฟเฟกต์ที่ต้องระเบิดกันอีกในนั้น เป็นคิวที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ไม่เคยเห็นมาก่อน มันประทับใจมากครับ
เราจะได้เห็น “เสือใบ” สู้กันกับ “เสือมเหศวร” เลยใช่ไหม
คนนั้นเขาเจอใครเขาก็ต่อยเลยครับ ใช่ครับ เราจะได้เห็นสองเสือสู้กัน และพวกเสือต่างสู้กันเองอีก “พี่เป้” เขาเป็นสายสู้เลย ผมเป็นสายน่ารักไม่ทำร้ายใคร เราสองคนเจอกันคิวแรกที่ถ่ายทำเลยครับ วัดใจกันคิวแรก เจอกันก็ต่อยกันเลย แล้วอย่างที่บอก เจอเทคนิคใหม่ๆ ของ “พี่โขม” ในคิวแรกเลย จึงค่อนข้างจะโหดหินและยากมาก แล้วสู้กับคุณเป้ก็หิน แขนเขาเหมือนไม่ใช่แขนคน เหมือนเหล็กมากกว่าครับ ฟาดไปโดนโอ้บวมเขียวเลย บอบช้ำ ผมยังแซวว่าเฮ้ย...นี่เรายังเป็นพี่น้องหมู่บ้านเดียวกันหรือเปล่าวะ พี่เป้บอกโอ้ แขนเราแข็งช่วยไม่ได้จริงๆ
แล้วก็มีคิวที่พี่เป้เจ็บตัวเหมือนกัน พี่เป้ไม่มีผิดคิวหรอก มีผมไปผิดคิวใส่เขา มันเป็นซีนที่ต้องต่อยหน้ากัน พี่เป้บอกโอ้ใส่มานิดนึงได้เลยนะจะได้ดูไม่หลอก พอแอ็กชันมันไม่นิดสิ มันกลายเป็นเยอะไปนิดนึงจนดังแอ็ก พี่เป้เป็นก้อนปูดขึ้นมาเลย ไม่เคยตั้งใจให้มันโดนเลย แต่กับคิวแอ็กชันมันต้องมีบ้างที่อาจจะพลาดได้ แล้วอย่างที่บอกครับ วันแรกเลยเป็นมหากาพย์การต่อสู้ของสองเสือ มันไม่ใช่แค่ยิงกระสุนคตแล้วเราหนีอย่างเดียวด้วย มันมีต้องแลกหมัดกันหนักหน่วง ในชีวิตจริงพี่เป้เรียนยูโด เราเคยดูคลิปเขาทุ่มคนล้มตึ้งๆ ต้องมีคิวสลิงอีก สู้กันชนิดประตูหลุดลงมาแล้วโอ้ต้องตีลังกา สู้กันทะลุกระจก เหมือนวันนั้นไปเล่นรถไฟเหาะมา 10 รอบ แล้วยังไม่จบ ยังมีวิ่งบนเทรดมิลที่เล่าไปอีก ต้องวิ่งเอียง 90 องศาขนานกับพื้นโลกด้วยนะครับ วิ่งสับเลย ขาต้องตวัดขึ้นอีก ต้องวิ่งหลบเอฟเฟกต์ไปตลอดทางอีก ผมเข้าใจแล้วว่าขาขวิดมันเป็นยังไง มันพลิกตอนจังหวะมันแป๊ดนะครับ หยุดถ่ายเลย ขาเกือบหลุด เดินกะเผลกงอกแงกเลย ช็อกเลยตอนนั้นทีมพยาบาลวิ่งมาฉีดคลายกล้ามเนื้ออยู่ครับ เหมือนกลัวเข่าเบี้ยว เพราะมันวิ่งแล้วมันแพร่ด โอ้โชคดีที่แค่เข่ามันซ้น ไม่ได้เป็นไรมาก
เราจะได้เห็นครับในภาคนี้ที่พี่โขมจะเอาสองเสืออย่างเราสองคนมาซัดกันเอง และเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก กะเอาให้ตายกันไปเลย เรายังไม่เคยเห็นเสือสู้กันเองกับเสือ ปกติเสือจะเป็นทีมเดียวกันสู้กับ “ขุนพันธ์” แต่กับเรื่องนี้ขุนพันธ์ยังไม่มา เสือแต่ละคนมีทั้งคาถาอาคม ทั้งสกิลการต่อสู้ที่ไม่มีใครเป็นรองใคร มีคาถาโกงชีวิตเป็นของตัวเองกันหมด พี่โขมก็จัดให้กระสุนคตมาวัดกับ “เสือมเหศวร” ใครจะแน่กว่ากัน ใครจะหมอบ ใครจะขย้ำ มันสู้กันได้ทั้งวันเลยนะครับ
มีฉากไหนเท่ๆ ของ “เสือ” บ้าง
เท่สุดก็ต้องเป็น “ฉากขี่ม้า” ด้วยกัน แต่เป็นฉากที่ไม่สบายตูดเลยครับ เพราะต้องวิ่งควบม้ากันมาแบบเร็วมาก มีการซ้อมกันหลายครั้งเหมือนกัน พื้นตรงที่วิ่งก็มีหลุม เขามีสิทธิ์ที่จะตกลงไปในหลุมแล้วเกิดอุบัติเหตุได้ ลื่นหญ้าด้วยอีก ม้าเขาเก่งอยู่แล้วเพราะเขาถ่ายหนังประจำ แต่กับผมไม่ค่อยได้ขี่ม้ามานานมากแล้ว วันนั้นกดดันหมด พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน ต้องถ่ายให้ได้ช็อตขี่ม้าสวยๆ ก่อนจะมืดอีก หลายอย่างเลยครับ ม้าก็ต้องวิ่งไปกลับกันอยู่หลายรอบจนกว่าภาพจะได้ แต่คุ้มค่าครับ เป็นฉากเท่ๆ ของเสือ เป็นการเสี่ยงที่สนุกและได้ภาพออกมาอย่างที่ตั้งใจครับ
และอีกหลายๆ ฉากที่เป็น “ฉากประลองอาคม 4 เสือ” เป็นอะไรที่เท่มาก เพราะแต่ละเสือมีอาคมของตัวเองที่เรียกว่าเป็น “คาถาโกงชีวิต” กันสุดๆ “เสือดำ” เขามีคาถาสลายกระสุนเรียกว่า “คาถาซัดฝุ่น” อย่างของผมมี “คาถาแคล้วคลาด” คืออมพระมเหศวรแล้วรอด ของ “เสือใบ” เป็น “คาถากระสุนคต” ของ “เสือฝ้าย” เขาจะมี “คาถาตวาดหิมพานต์” แล้วต้องมาสู้กัน คาถาพี่ฝ้ายกระทืบเท้าทีเดียวเหมือนโลกจะสลายเลย ลอยกระเด็นไปคนละทิศละทาง แล้วทุกคนมีความพยายามที่จะหยุดอาคมของเขาและของคนอื่นไปพร้อมกัน หรือบางทีก็ต้องช่วยกันเพื่อหยุด สลับกันโจมตี สลับกันตั้งรับ จนบางทีรู้สึกว่า “พี่โขม” ให้ฆ่ากันได้ทั้งวันแบบนี้ จะสู้กันยังไง จะตายกันกี่โมง ความมันส์และความสนุกในการดีไซน์คิวบู๊มันเจ๋งมากเลยครับ ตอนที่เขาถ่ายกันจะมีการตัดต่อไปด้วยหน้ากองเลย เห็นแต่ละช็อตที่พวกเราดูกันแล้วยังต้องร้องว้าว พลังมันมาทันที มันเป็นความว้าว ความเซอร์ไพรส์ทั้งคนดูแล้วก็ตัวนักแสดงด้วยครับ เพราะว่ามันเป็นโอกาสยากที่พวกเราจะได้มาเจอกัน แล้วพี่โขมไม่กั๊กเลย มีซีนที่ต้องต่อสู้ด้วยกันเยอะมากครับ คุ้มแน่นอนครับ
ฉากที่อลังการสำหรับโอ้
“ฉากงานฤดูหนาว” ครับ ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่จัดงานฤดูหนาวกันแบบงานกาชาดสมัยก่อน จะมีคนมาร่วมงานกันเยอะมากๆ ทั้งประชาชน และการออกงาน ร้านค้า มีวงโยธวาทิตมาเข้าเปิดงานอีก เรียกว่าวันนั้นคนเข้าฉากร่วมกันหลายร้อยชีวิตมากครับ ในเหตุการณ์วันนั้นก็จะมีเสือหลากหลายทิศมาเจอกันแล้วตะลุมบอนยิงกันกลางงาน ชุลมุนกันไปหมด ฉากเดือดมากครับ ยิงกันนัว เอฟเฟกต์ระเบิดเต็มไปหมด เป็นการทำงานที่คิวเยอะมาก คนเยอะมาก “พี่โขม” อยากได้ภาพกว้างๆ เห็นบรรยากาศหมด ส่ง
โดรนบินถ่ายจนไม่มีที่ให้หลบ เวลาวิ่งไปทางไหน ก็ต้องเล่นให้เต็มทุกพื้นที่ เดือดตั้งแต่เช้ายันเย็นฉากนี้ฉากเดียว แต่ที่เดือดกว่านั้นคืออากาศในวันนั้นครับ เป็นการจำลองงานฤดูหนาวที่ร้อนสุดยอดเลย เสื้อผ้าใส่กันจัดเต็มแขนยาวหนาแบบใส่ในฤดูหนาวเลย ต้องปรบมือให้ทีมงานหลายชีวิตวันนั้นมาก แค่จำนวนเสื้อผ้าของนักแสดงร่วมในวันนั้นราวแชวนเสื้อผ้ามาต่อกันยาวเลย มีกล้อง 4 ตัวเพื่อฉากนี้ฉากเดียวครับ
แต่ถ้าพูดถึงความอลังการในความโหดของการถ่ายทำ มันหลายฉากมากครับ เพราะซีนใหญ่ทุกซีน หนักทุกซีน อันนี้ผมแค่ยกตัวอย่างหนึ่งในหลายฉากที่เราจะได้ชมกันว่าแต่ละฉากถ่ายกันโหดหินไม่ได้ผ่านมันมาง่ายๆ เลยครับ มันมีความเจ๋ง มีความบ้า ผมจำได้ว่ามันมีฉากที่เป็นฉากใหญ่ไคล์แมกซ์ของเรื่อง เราเรียกมันว่า “ซีนทุ่งระเบิด” โอ้โห...เนรมิตเขาทั้งลูกครับ จากลานหินโล่งๆ บนเขา พี่โขมเอาใบไม้มาถมให้เป็นทุ่งแห้ง ผมมาถึงกองคือลานหินหายไปแล้วกลายเป็นใบไม้ทั้งทุ่ง ฝังเอฟเฟกต์ไว้ในพื้นใบไม้ เพื่อทำให้มีระเบิดนาปาล์มมาลง เป็นลูกไฟใหญ่ๆ เรียกว่าระเบิดกันทั้งทุ่งครับ ทีมเอฟเฟกต์เขาเก่งมากครับ มีทั้งระเบิด ควัน ลม มีเพิ่มควันจากเครื่องอีก เหมือนเครื่องฉีดไล่ยุงเครื่องใหญ่ๆ แต่ความหินที่สุดของ “เสือ” ถ้าเทียบกับ “ขุนพันธ์ 3” ก็คือความร้อนระอุ เพราะฉากที่ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว แต่งตัวแฟชั่นหน้าหนาวสุด แล้วสู้กันท่ามกลางอากาศร้อนสุดๆ ครับ โหดหมดทุกทางเลยครับ
มีฉากต่อสู้กับ “รสริน” นางเอกของเรื่องด้วย
ใช่ครับ เป็นฉากที่ต้องสู้กันในรถของ “เสือมเหศวร” กับ “รสริน” (หลิน มชณต) เป็นบู๊แบบใกล้ชิดกันที่ถูกดีไซน์คิวบู๊โดย “พี่ท็อป” (วีระพล ภูมาตย์ฝน - แอ็กชันดีไซน์) เขาก็ช่างคิดนะที่ให้พวกเราไปสู้กันในรถคันเล็กนิดเดียว ออกแนวสนุกเซ็กซี่นิดๆ ระหว่างการสู้แบบชายหญิง เรามีไปซ้อมคิวนี้โดยเฉพาะกันมาก่อนล่วงหน้าก่อนจะมาเข้าฉาก เราใช้รถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถยาวกว่านี้หน่อย แต่พอมาเจอกันวันจริง รถที่เข้าฉากเป็นรถโบราณคันเล็กกว่าที่เคยซ้อมกันมา ตอนบู๊กันแรกๆ ก็ไม่มีอะไร คิวได้เป๊ะเลย แต่จังหวะที่รสรินต้องสวนกลับด้วยขา หลินเขาเป็นนางแบบขายาว กะระยะผิด ตอนหลบขาเขาหัวผมก็ปักไปกับเหล็กของตัวรถ รถโบราณมันจะเป็นเหล็กแข็งใช่ไหมครับ หัวเกือบแตก ต้องประคบน้ำแข็งเลยซีนนั้น แต่สนุกครับ อยากให้ไปดูความสนุกและแปลกใหม่ของเสือที่ต้องสู้กับผู้หญิง
ร่วมงานกับ “หลิน มชณต” เป็นยังไงบ้าง
“หลิน” เขาตั้งใจมากครับ ตัวจริงเขาก็เป็นคนที่มีเสน่ห์ เขาแต่งตัวแบบไหนก็สามารถเปลี่ยนลุคไปตามชุดได้ทุกแบบ และเขาก็เก่งเรื่องคิวบู๊อยู่เหมือนกันนะครับ อย่างที่บอกว่าเราเคยไปซ้อมคิวบู๊ด้วยกันมาก่อน หลินเขาก็จะเข้าใจไม่ยาก พวกเรายังแซวกันว่าค่าใช้จ่ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ครึ่งหนึ่งหมดไปกับชุดของ “รสริน” เพราะชุดเขาเยอะมาก ต้องปลอมตัว ซีนเดียวกันใส่หลายชุดเลยครับ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
การทำงานกับ “พี่โขม” ผู้กำกับในเรื่องนี้ มันสนุกและสุดยังไง
แอ็กชันของ “พี่โขม” ก็คือระเบิดตู้มต้ามไงครับ ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับหนังแนวนี้ในสไตล์ของพี่โขมอยู่แล้ว แต่กับเรื่อง “เสือ” นี้มันอัปเลเวลขึ้นไปอีก อย่างผมทำใจไว้แล้วว่าต้องเหนื่อยแน่ “พี่จ่อย อนันดา” ก็ เคยเตือนไว้ว่าพี่พูดคำเดียวเลย พี่โขมเพี้ยน พี่โขมบ้า (หัวเราะ) ตอนอ่านบท (Read-Through) เรื่อง “ขุนพันธ์ 3” ผมก็เคยเกิดความรู้สึกว่าพี่โขมบ้าเปล่าเนี่ย แต่ละฉากคิดมาได้ยังไง สุดมากๆ แล้วพอมาอ่านเรื่องนี้ความรู้สึกเดิมก็กลับมา รู้สึกว่าพี่มันจะไปถึงไหน มันจะไปจบที่ตรงไหนได้ เรื่องราวมันพาเราไปในสิ่งที่ไม่คาดคิด ความบู๊ รูปแบบมันเวอร์ขนาดหนัก เคยเจอสุดมาแล้ว แต่นี่มันจะสุดไปกว่าเดิมอีกครับ ที่สุดยกนิ้วยอดเยี่ยมให้โปรดักชันของ “คุณก้องเกียรติ โขมศิริ” เลยครับ
ร่วมงานกันครั้งนี้กับเสืออื่นๆ ด้วยกันเป็นยังไงบ้าง
นอกจากเรื่องนี้เราจะได้เจอกันเองระหว่าง “4 เสือในตำนาน” อย่าง “เสือใบ”, “เสือดำ”, “เสือฝ้าย” และ “เสือมเหศวร” แล้ว ก็ยังมีเสืออื่นๆ และแก๊งโจรอีกเยอะมากนะครับที่จะมาร่วมวงปะทะกันในเรื่องนี้ กับ “พี่เป้” ที่เล่นเป็น “เสือใบ” เรื่องนี้เราก็จะได้เห็นเสน่ห์ของความเป็นเสือใบที่เรายังไม่เคยเห็นเขามุมนี้มาก่อน เห็น “เสือฝ้าย” ที่มีบารมีคุมชุมเสือได้อย่างน่าเกรงขามที่สุดโดยผ่านมุมมองของ “พี่เวียร์” เห็น “เสือดำ” ในอีกรูปแบบหนึ่ง อีกแง่มุมที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนกับแบ็กกราวด์ของตัวเสือดำ และแน่นอนกับ “เสือมเหศวร” เองก็จะมีการเล่าถึงอดีตของเขาด้วยส่วนหนึ่ง
การร่วมงานกันในเรื่องนี้ก็ดีใจมากครับที่ได้มาเล่นกับทุกคน คนแรกคือ “คุณเป้ อารักษ์” เขาเป็นรุ่นพี่แถวบ้านผม เราโตมาด้วยกันในหมู่บ้านเดียวกัน เป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพอยู่แล้ว เป็นพี่ที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แฮปปี้มากครับที่ได้มาเล่นด้วยกันซักทีในเรื่องนี้ ตอนที่เล่น “ขุนพันธ์ 3” เราก็ไม่ได้เจอกัน เราถ่ายกันคนละวัน แต่กับ “เสือใบ” ในเรื่องนี้เหยียบเข้ากองถ่ายวันแรกก็เจอเพื่อนบ้านคนนี้ทันที บางทีผมก็รู้สึกผิด
เหมือนกันที่ไปต่อยเขาผิดคิวบ้าง โดนหน้าโดนขา แต่คนที่เจ็บตัวกลายเป็นผม เพราะแขนขาคุณอารักษ์เขาแข็งมากอย่างที่เล่าไป นอกจากที่เราจะต้องมาสู้กันอย่างดุเดือดแล้ว เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของ “เสือมเหศวร” กับเสือใบในมุมที่ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ และต้องมาชิงทำภารกิจเดียวกันอีก ได้วัดสกิลการต่อสู้กันในทุกๆ ด้าน แม้กระทั่งในความเป็นแฟชันนิสตาของหนัง อย่างเสือใบเขาจะมีเทสต์เรื่องหน้าผมเต็มที่ มีความเป็นคาสโนวา เป็นนักดนตรี แต่เราเป็นเสือสังคม เป็นสายนักข่าวการเมือง เจอคนระดับรัฐบาลจนถึงชาวบ้าน การแต่งตัวเสื้อผ้าหน้าผมก็จะเนี้ยบทันสมัย ลุคผู้ดี อีกสองเสืออย่าง “เสือดำ” และ “เสือฝ้าย” ก็มีสไตล์การแต่งตัวเท่ๆ ไปอีกแบบ แต่ผมมองว่าไม่มีเสือไหนที่จะเป็นแนวแฟชันนิสตาได้เท่าเสือมเหศวรกับเสือใบแล้วครับ
กับ “พี่เวียร์” ก็ตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยได้เล่นเรื่องไหนกับพี่เวียร์เลย เป็นครั้งแรกเหมือนกันครับ รู้สึกว่าแค่เขาแต่งตัวเดินมาก็รู้สึกว่านี่คือ “เสือฝ้าย” และมีความน่าเกรงขาม มีความเป็นแบบสุขุม มีความนุ่มลึก หนวดเขา บอดี้เขาอย่างกับประธานาธิบดีของอเมริกามาเลย ชุดเขาเท่มาก กับการแสดงและคิวการต่อสู้ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย พี่เวียร์เป๊ะมากมืออาชีพอยู่แล้ว ในคิวบู๊ คิวอารมณ์ พี่เวียร์เอาอยู่หมด และสิ่งที่น่ากลัวของพี่เวียร์คือขาเขานี่แหละครับ ขาพี่เวียร์ยาวมากเหมือนขาเสือมเหศวร 2 ขาต่อกัน จังหวะที่เขาบู๊ขาเขาจะมาก่อน ถ้าเขาถีบเรากระเด็นแน่ครับทั้งที่เรายังไม่ถึงตัวเขาเลย ไหนจะปืนอีก เสือฝ้ายใช้ปืนยาว ควงเก่งอีก จังหวะควงนี่ต้องหลบให้ดีเลยครับ มีแผลแตกแน่นอน ก็จะเป็นเรื่องแซวกันในกองถ่าย
กับ “เสือดำ” ผมชอบคาแร็กเตอร์ของ “พี่โน่” ในเรื่องนี้มากนะครับ มันพลิกความเป็นเสือดำอย่างที่เราเคยเห็นใน “ขุนพันธ์” และเชื่อว่ายังไม่มีใครเคยได้เห็นมุมนี้ของเขา มันยังคงความเท่ห์ ความเฟี้ยว แต่มีมุมความน่ารักของเสือดำ มุมที่ไม่ตึงของเขาอย่างที่เราเคยเห็น สำหรับที่ผ่านมาในการทำงานครั้งนี้ รู้สึกแฮปปี้มากครับที่พวกเราได้มาเจอกัน ได้มาทำงานร่วมกัน มันเหนื่อยครับ แต่ก็เหนื่อยเหมือนกันทุกคน เป็นการทำงานกที่รู้สึกถึงความเป็นทีมเวิร์กที่ดีมากสำหรับโอ้ครับ
แล้วกับตัวละคร “หลวงประสาน” (ท็อป ทศพล) เป็นยังไงบ้าง
เรื่องนี้ตัวร้ายเขามาเป็นแก๊งครับ แซวกันประจำว่าเป็นแก๊งกินเจ เพราะเขาจะใส่ชุดขาว เนี้ยบ เป็นแก๊งที่เรียกว่าเป็นแฟชันนิสตาอีกแก๊งของเรื่องเลย จะเท่ จะเดินกันมาเป็นกลุ่มมาเฟีย ชุดขาวแต่ไม่ขาว ในความเนี้ยบมีบางอย่างซ่อนอยู่ “ท็อป ทศพล” เป็นคนที่เหมาะกับคาแร็กเตอร์นี้มาก เขาพัฒนาตัวเองให้เข้ากับคาแร็กเตอร์ของ “หลวงประสาน” จนทำให้ผมรู้สึกเชื่อ รู้สึกถึงความน่าหมั่นไส้ และเขาก็ทำการบ้านมาดี การที่เขาต้องมาสู้มาเป็นคนปราบเสือทั้งภูมิภาคให้หมดได้ มันต้องไม่ธรรมดาแน่นอนอยู่แล้ว อยากให้ทุกคนได้เห็นท็อปในเรื่องนี้มากว่าจะสนุกขนาดไหน อยากให้จับตาดูคาแร็กเตอร์ตัวร้ายของเรื่องนี้เอาไว้ให้ดีๆ เลยครับ
ความน่าสนใจโดยรวม
อย่าง “เสือมเหศวร” ใน “ขุนพันธ์ 3” เราได้เห็นเขาเป็นยังไง เขาก็ยังเป็นแบบนั้น แต่ในเรื่อง “เสือ” จะเล่าถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นถึงอุดมการณ์ต่างๆ ของเสือแต่ละตัวอย่างจริงจัง การทำงานในสายข่าว การที่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ที่เขาต้องมาเป็นโจรเป็นเสือมันเพราะอะไร เขามาถึงยังจุดนี้ได้ยังไง และความมันส์ของ “4 เสือ” ที่ต้องมาสู้กันเอง กับการต่อสู้ในทุกรูปแบบทั้งอาคม สกิลการต่อสู้ อาวุธ จัดเต็มมากครับ ก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง “เสือ” ด้วยนะครับ ทั้งนักแสดง ทีมงาน ผู้กำกับ ทุกคนตั้งใจกับงานนี้มาก ไม่อยากให้พลาดครับ 23 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
