พระราชสำนัก
55

รำลึก 13 ตุลาฯ 'ในหลวง ร.9': จาก 'กษัตริย์นักพัฒนา' สู่โครงการหลวงนับพัน สานต่อชีวิตคนไทยไม่สิ้นสุด

แชร์ข่าว

เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง สำหรับ วันคล้ายวันสวรรคต “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” หรือ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ของปวงชนชาวไทยเรา ในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ซึ่งทางการกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่มีชื่อว่า “วันนวมินทรมหาราช”

 

อย่างไรก็ดี แม้พระองค์ได้สวรรคตไปเมื่อเวลา 15.52 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 หรือเมื่อ 9 ปีที่ผ่านพ้นมา ทว่า ถึง ณ เวลานี้ พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ ของพระองค์ ยังคงติดตาตรึงใจแก่เหล่าพสกนิกรชาวไทย ตลอดจนบรรดาชาวต่างชาติจากนานาประเทศ และองค์การระหว่างประเทศทั้งหลาย ที่ยังคงแซ่ซ้องสรรเสริญกันอยู่เนืองๆ ด้วยความปลาบปลื้มเป็นล้นพ้นในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์อย่างไม่รู้ลืม

 

ทั้งนี้ ก็ด้วยนอกจากในประเทศไทย ที่พระองค์มีพระราชกรณียกิจเป็นประการต่างๆ ผ่านโครงการในพระราชดำริจำนวนนับพันโครงการ ในอันที่จะทำให้ประชาชนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้คนในพื้นที่ชนบทห่างไกล ได้มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ในส่วนของต่างประเทศ พระองค์ก็มีพระราชกรณียกิจ ในอันที่จะเจริญพระราชไมตรี เพื่อสร้างสรรค์และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนเป็นที่ประจักษ์ ตลอดช่วงรัชสมัยที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ครองราชย์มาเป็นเวลานานกว่า 70 ปี

 

โดยพระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศของพระองค์ อาทิเช่น การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ อย่างไม่เลือกฝ่าย หรือขั้วข้าง ในขณะที่โลกของเรา ณ เวลานี้ อยู่ระหว่างท่ามกลางของการชิงชัยแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย เป็นโลก 2 ขั้ว คือ โลกเสรีประชาธิปไตย กับโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งพระราชกรณียกิจการเจริญสัมพันธไมตรีข้างต้น ส่งผลให้ประเทศไทยเรา มีมิตรประเทศจากทุกฝ่าย

 

นอกจากนี้ พระราชกรณีกิจที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศดังกล่าว ก็ยังเป็นเหตุปัจจัยให้ประเทศไทยของเรา ได้รับการยอมรับสถานะจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาประเทศมหาอำนาจมากขึ้น นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

 

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงสถานะของประเทศไทยในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกตะวันตก อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา และยุโรปตะวันตก ก็ถือว่า ไม่ดีนักในช่วงเวลาดังกล่าว จากการที่ไทยเรา ภายใต้การนำของ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” ไปเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปรากฏต่อมาในมหายุทธ์ครั้งนั้นว่า ญี่ปุ่น เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม

 

โดยพระราชกรณียกิจเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีพุทธศักราช 2502 ไปจนถึงปีพุทธศักราช 2537 ซึ่งประเทศแรกที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปนั้น ก็คือ “สาธารณรัฐเวียดนาม” เมื่อปีพุทธศักราช 2502 ส่วนประเทศสุดท้ายที่พระองค์เสด็จฯ เยือน ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อปีพุทธศักราช 2537 รวมแล้วกว่า 30 ประเทศด้วยกัน ซึ่งในครั้งนี้จะขออัญเชิญพระราชกรณียกิจการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ พอเป็นสังเขป ได้แก่

 

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม ระหว่างวันที่ 18-21 ธันวาคม พุทธศักราช 2502 ซึ่งในการนี้ ทรงพบกับประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม แห่งสาธารณรัฐเวียดนาม ณ ทำเนียบประธานาธิบดี ที่กรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของประเทศดังกล่าว

 

ก่อนที่ในปีถัดมา พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอังกฤษ โดยพระองค์ ทรงพบกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ณ พระราชวังบักกิงแฮม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปีเดียวกันนั้น ก่อนหน้าที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนอังกฤษนั้น ก็ได้เสด็จฯ เยือนประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพระองค์ทรงพบกับประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ

 

ในปีพุทธศักราช 2503 นั้น พระองค์ยังได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรสวีเดน โดยพระองค์ทรงพบกับสมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟ ที่ 6 อดอล์ฟ และสมเด็จพระราชินีหลุยส์ ณ กรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของราชอาณาจักรสวีเดน

 

จากนั้นอีก 3 ปีถัดมา ในปีพุทธศักราช 2506 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยพระองค์ทรงพบกับสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต และสมเด็จพระจักรพรรดินีทาคามัตสึ ณ พระราชวังในกรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชปฏิสันถารกับสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นในรัชกาลองค์ต่อมา อย่างสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ อันสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองราชวงศ์อย่างแนบแน่น

 

นอกจากนี้ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ก็ยังทรงมีพระราชปฏิสันถาร และทรงรับ ต่อบรรดาผู้นำประเทศทั้งหลายที่มาเข้าเฝ้าฯ ในระหว่างเดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับนานาอารยประเทศอีกด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้

 

ด้วยพระราชกรณียกิจ และพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ก็ส่งผลให้บรรดาองค์การระหว่างประเทศทั้งหลาย ถวายพระเกียรติสดุดียกย่องเป็นประการต่างๆ แม้ในยามที่พระองค์เสด็จสวรรคตไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในการประชุมระดับระหว่างประเทศ เวทีโลก อย่างที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นจีเอ ครั้งที่ 70 ประจำปี 2016 (พ.ศ. 2559) ถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีของไทย พร้อมถวายการสดุดียกย่องให้พระองค์เป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” ด้วยพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจอันเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติเป็นประการต่างๆ

ข่าวแนะนำ