คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ปัญหาการชัตดาวน์ปิดหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆครั้ง ซึ่งทุกๆครั้งไม่มีความแน่นอน แถมยังสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้แก่หน่วยงานต่างๆของรัฐบาลกลาง รวมไปถึงบริการทางด้านสาธารณะที่ต้องหยุดชะงักให้บริการล่าช้าไม่ทั่วถึง
อีกทั้งจากสายตาของบรรดานานาประเทศก็ยังมองการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯอย่างเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย จนมีผลทำให้เกิดภาพพจน์ในด้านลบเป็นอย่างสูง เนื่องจากประเทศเหล่านั้นต่างพากันคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เพราะเหตุอันใดจึงไม่สามารถบริหารจัดการงบประมาณประจำปีได้!!!
สำหรับประเด็นการชัตดาวน์ (shutdown) ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 นี้ สืบเนื่องมาจากเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่าย “พรรครีพับลิกัน” ที่นั่งคุมเสียงข้างมากทั้งในทำเนียบขาวและในสภาคองเกรส กับ “พรรคเดโมแครต”
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะมีเสียงข้างน้อย คือ มีเสียงในวุฒิสภาแค่เพียง 47 ที่นั่งก็ตาม แต่พรรคเดโมแครต ก็ยังมีข้อได้เปรียบในการต่อรองกับพรรครีพับลิกัน เพราะตราบใดก็ตามที่วุฒิสภาของพรรครีพับลิกันมีคะแนนไม่ถึง 60 เสียง ซึ่งขณะนี้พรรครีพับลิกันมีเสียงในวุฒิสภาเพียง 53 เสียงเท่านั้น
ดังนั้นขณะนี้ ฝ่ายพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต จึงไม่สามารถทำการตกลงในการผ่านร่างกฎหมาย เพื่อใช้จัดสรรคงบประมาณในครั้งนี้ได้ จนเป็นเหตุให้มีการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางบางหน่วยงาน (มิใช่ปิดทั้งหมด) ที่เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.01 ของวันพุธที่ 1 ตุลาคม 2025
นับตั้งแต่วันและเวลาดังกล่าว พนักงานของหน่วยงานของรัฐบาลกลางจำนวนกว่า 40% หรือประมาณ 750,000 คนจะต้องถูกสั่งให้พักงานและไม่ได้รับค่าตอบแทน
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 เป็นต้นมา ปรากฏให้เห็นตลอดมาว่า เขาพยายามที่จะปลดลดจำนวนของคนงาน ที่มีผลทำให้เขาต้องเผชิญกับแรงต่อต้านอย่างเข้มข้น
แต่ประเด็นหลักๆอยู่ที่ว่า ค่ายพรรคเดโมแครตคู่แข่งที่เป็นฝ่ายตรงข้าม พยายามอย่างยิ่งที่จะต่อต้านทุกวิถีทาง เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการที่จะตัดงบประมาณด้านสวัสดิการสาธารณะสุข ที่พรรคเดโมแครตใช้ชูธงเป็นนโยบายหลักของพรรค โดยที่ผ่านๆมาตามสถิติชาวอเมริกัน 92% จาก 305.2 ล้านคน ซื้ออินชัวรันส์ประกันสุขภาพของตนเอง แต่ปรากฏว่ายังมีชาวอเมริกันถึง 27.1% ที่ไม่มีอินชัวรันส์ที่ใช้ประกันด้านสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีรายได้ต่ำ เป็นผู้สูงอายุ และเป็นผู้พิการ!!!
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2010 “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงเอาไว้ให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มของคนพิการ แถมยังช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอีกด้วย ที่ผลงานของเขาเรียกว่า “โอบามาแคร์” (Affordable Care Act)
โดยโครงการนี้เป็นที่นิยมชมชอบและเป็นที่ยอมรับของคนอเมริกัน จนเปรียบเสมือนมีดคมที่คอยบาดใจเชือดเฉือนความรู้สึกของประธานาธิบดีทรัมป์เรื่อยมาตลอดๆ จนเขามีดำริออกมาบ่อยๆครั้งว่า “ต้องการที่จะยกเลิกโครงการนี้” แต่กลับต้องพบกับความล้มเหลวทุกๆครั้ง โดยศาลสูงสุดออกมาปฏิเสธการล้มเลิกโครงการนี้ด้วยมติ 7 ต่อ 2 เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2021
อย่างไรก็ตาม สามวันก่อนที่จะมีการชัตดาวน์เกิดขึ้น ผู้นำของพรรคเดโมแครต 2 ท่าน อันได้แก่ “วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์” ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ของพรรคเดโมแครต และ “ส.ส. ฮาคีม เจฟฟรีส์” ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคเดโมแครต ได้เข้าพบปะกับประธานาธิบดีทรัมป์ และ “วุฒิสมาชิก จอห์น ทูน” ผู้นำเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกัน เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ โดยผู้นำทั้งสองของฝ่ายพรรคเดโมแครต หยิบยกเอาปัญหาเร่งด่วน อันได้แก่ โรงพยาบาลของสหรัฐฯทั่วประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาไม่เพียงพอที่จะให้การบริการได้อย่างทั่วถึง แถมยังมีอีกหลายๆแห่งที่กำลังจะปิดบริการ แต่น่าแปลกที่ปรากฏให้เห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมิเคยรับรู้ปัญหานี้เลย โดยเขาเพิ่งจะรับทราบถึงวิกฤติเกี่ยวกับโรงพยาบาล และยังมีปัญหาด้านการขาดบุคลากรด้านการรักษาพยาบาลตามติดมาอีกด้วย
ทั้งนี้จากการสนทนาร่วมกับวุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ เพียงแต่เป็นผู้รับฟัง โดยมิได้แสดงท่าทีที่จะเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตชัดดาวน์แต่อย่างใด!!!
นอกจากนั้นยังดูเหมือนว่า ทั้งสองผู้นำของพรรคเดโมแครต ที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ด้านสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน ที่เขาทั้งสองสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาชัตดาวน์ในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” มาแล้ว
ส่วนกรณีที่ขณะนี้บรรดาพนักงานของรัฐบาลกลาง 750,000 คน หรือประมาณ 40% ของจำนวนพนักงานรัฐบาลกลางทั้งหมด ที่พวกเขาถูกลอยแพจนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากพวกเขาจะไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนที่จะต้องนำไปจ่ายค่าผ่อนบ้าน จ่ายค่าผ่อนรถ จ่ายค่าเครดิตการ์ด ผ่อนค่ากู้เรียนหนังสือ จ่ายค่าน้ำมันรถ จ่ายค่าเดินทาง จ่ายค่าอาหารประจำวัน จ่ายค่าเลี้ยงลูก จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์มองข้ามมิได้สนใจต่อเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งโดยปกติแล้วคนอเมริกันผู้มีรายได้ต่ำ หากเกิดตกงานขึ้นมา ก็มักจะมีความเป็นอยู่ได้อีกแค่เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ที่มองๆไปแล้วไม่แตกต่างอะไรกับคนหาเช้ากินค่ำในเมืองไทยเลย!!!
อนึ่งสำนักโพลต่างๆที่ออกมาทำการหยั่งเสียงทันทีที่มีการชัตดาวน์เกิดขึ้นนั้น ปรากฏผลการรายงานออกมาว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่กล่าวตำหนิต่อประธานาธิบดีทรัมป์ และต่อสภาคองเกรส ที่มี พรรครีพับลิกัน มีเสียงข้างมาก ยกตัวอย่าง เช่น จากผลการหยั่งเสียงของ “หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์” ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลสูงมากอีกหนึ่งฉบับของสหรัฐฯ ได้ออกมารายงานเมื่อวันพุธที่ 2 ตุลาคม 2025 นี้ว่า ชาวอเมริกันถึง 47% กล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์ และตำหนินักการเมืองในสภาคองเกรส ของ ค่ายพรรครีพับลิกัน และยังมีคนอเมริกัน 30% ที่ออกมากล่าวตำหนินักการเมืองในสภาคองเกรส ของพรรคเดโมแครตด้วยเช่นกัน
และล่าสุดโพลเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2025 นี้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ยังได้รายงานออกมาว่า ชาวอเมริกันกล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์และพรรครีพับลิกัน มากกว่าพรรคเดโมแครตที่ 12%
ขณะที่การชัตดาวน์กำลังดำเนินอยู่นั้นปรากฏว่า สร้างความเดือดร้อนและสร้างผลกระทบให้กับนานาประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สืบเนื่องมาจากกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯหยุดและยุติที่จะให้การช่วยเหลือต่อประเทศต่างๆเป็นการชั่วคราว นับได้ว่าสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อภาพลักษณ์อันดีที่มีมาอย่างยาวนานของสหรัฐฯเลยทีเดียว
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นภายในต้นเดือนพฤศจิกายน 2025นี้ คนอเมริกันส่วนใหญ่คงจะได้รับจดหมายจาก บรรดาบริษัทอินชัวรันที่รับประกันด้านสุขภาพในทำนองที่ว่า ค่าธรรมเนียมของการประกันสุขภาพจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าตัว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเรื่องราวใหญ่โตที่เกิดมานี้ นักการเมืองของทั้งสองพรรคยักษ์ใหญ่ก็คงจะพยายามปัดสวะ ยกความผิดสาดโคลนกล่าวตำหนิซึ่งกันและกันอย่างแน่นอน และยังปรากฏให้เห็นว่าขณะนี้ คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ร่วงตกลงต่ำสุดอยู่ที่ 37% และคะแนนนิยมของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ในด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอยู่ที่ 34% แถมชาวอเมริกันถึง 71% ยังออกมาแสดงความต้องการที่จะให้ประธานาธิบดีทรัมป์ แก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการสุขภาพในทันท่วงที
อีกทั้งที่ผ่านๆมาประธานาธิบดีทรัมป์ ยังเคยออกมาเอ่ยปากกล่าวว่า “หากประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนใดก็ตาม ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการชัตดาวน์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของตนเองได้ ถือได้ว่า ประธานาธิบดีผู้นั้นเป็นผู้นำที่มีความอ่อนแอ แต่ดูเหมือนว่าการเกิดชัตดาวน์ในครั้งครานี้เขากลับยืนกรานว่า “เป็นทิศทางที่จะเกิด วิน วิน เพียงอย่างเดียว” ส่วน “ประธานสภาไมค์ จอห์นสัน”ก็ได้ออกมายืนกรานว่า “ไม่มีอะไรที่จะเจรจากับพรรคเดโมแครต” เมื่อเป็นเช่นนั้นหากประธานาธิบดีทรัมป์และนักการเมืองของพรรครีพับลิกันเกิดไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของนักการเมืองพรรคเดโมแครต และไม่ยอมแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการสุขภาพที่กำลังเกิดวิกฤติอย่างเร่งด่วนแล้วละก็ ประเทศมหาอำนาจที่เคยยิ่งใหญ่เยี่ยงสหรัฐฯอาจจะเข้าสู่อาการโคม่าเลือดลมไหลผ่านไม่คล่องจนอัมพาตรับประทานเดิน กระโผลกกระเผลกปัดไปเป๋มาก็เป็นไปได้ละครับ