วันที่ 10 ต.ค. 68 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประชุมหารือมาตรการรับมือปัญหาฝุ่น PM2.5 ร่วมกับนางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเปิดการประชุมโดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมการล่วงหน้าร่วมกันเนื่องจากฤดูฝนกำลังจะหมดไปและจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝุ่นแล้ว และได้กล่าวถึงปัจจัยเกิดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ 3 ปัจจัย ได้แก่ สภาพอากาศ ฝุ่นจากรถยนต์ และการเผาชีวมวล พร้อมกล่าวว่า กทม. ได้ดำเนินมาตรการในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ปีนี้ได้มีการประกาศให้ท้องที่เขตกรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะยกระดับมาตรการต่าง ๆ ให้เข้มข้นขึ้น และสุดท้ายแล้วต้องมีความร่วมมือกัน
จากนั้น นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร ได้นำเสนอถึง 10 มาตรการที่กรุงเทพมหานครจะดำเนินการ ประกอบด้วย
4 มาตรการยกระดับทางกฎหมาย ได้แก่ 1. ยกระดับเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone - LEZ) ขยายจากพื้นที่วงแหวนชั้นใน เป็นทั่วกรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต 2. ยกระดับมาตรฐานการจัดการรถบรรทุกขนาดตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปซึ่งปล่อยควันดำ เตรียมกำหนดค่าความทึบแสงควันดำจากเดิมไม่เกิน 30% เป็นไม่เกิน 20% เพื่อให้สอดคล้องกับกรมควบคุมมลพิษ รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นการสั่งห้ามใช้รถแบบเด็ดขาด แทนการพักใช้ชั่วคราว 30 วัน 3. ยกระดับการตรวจรถภายในไซต์ก่อสร้าง/สถานประกอบการ โดยรถบรรทุกทุกคันที่เข้าไซต์ก่อสร้างจะต้องอยู่ในบัญชีสีเขียว (Green List) ของ กทม. และต้องมีหลักฐานการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง 4. ยกระดับมาตรการจัดการมลพิษในโรงงาน โดย กทม. หารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อให้สถานประกอบการที่มีหม้อไอน้ำ (Boiler) ติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษแบบต่อเนื่อง (CEMS)
3 มาตรการยกระดับการมีส่วนร่วม ได้แก่ 1. ยกระดับการประสานงาน/สนับสนุนจังหวัดข้างเคียง เพื่อลดการเผาชีวมวล โดยจะเข้าไปช่วยสนับสนุนทั้งด้านเครื่องอัดฟางและส่งเสริมการทำแนวกันไฟ 2. ยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเพิ่มช่องทางการแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast จากเดิมที่มีการแจ้งเตือนผ่าน Social Media และ Line Alert รวมทั้งพัฒนาระบบพยากรณ์ให้คาดการณ์ล่วงหน้าได้ 7 วัน จากเดิม 3 วัน 3. ยกระดับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและวิชาการ โดยตั้งเป้าประชาชนเข้าร่วมแคมเพนรถคันนี้ลดฝุ่น 500,000 คัน จากเป้าเดิม 300,000 คัน และพัฒนาโครงการนักสืบฝุ่น โดยใช้ Super Station ที่สามารถทราบผลแบบ Real Time จากเดิมที่ต้องส่งผลเข้าแล็บ ซึ่งต้องรอผลประมาณ 3 เดือน
3 มาตรการยกระดับการป้องกันสุขภาพประชาชน ได้แก่ 1. ยกระดับการจัดทำห้องปลอดฝุ่น เพิ่มจำนวนห้องปลอดฝุ่นทั้งในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2. ยกระดับมาตรการ Work from Home ตั้งเป้าหมายมีประชาชนร่วม WFH เพิ่มขึ้นจาก 300,000 เป็น 500,000 คน 3. ยกระดับมาตรการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มเป้าหมายต้นไม้ในโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น และเน้นการปลูกในพื้นที่กรุงเทพตะวันออกเพื่อเป็นกำแพงกันฝุ่น เนื่องจากฝุ่นมักพัดมาจากทิศตะวันออก
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้หารือร่วมกันถึง มาตรการจูงใจเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้รถยนต์ขนาดเล็กนำรถยนต์ไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามโครงการ “คลินิกรถ ลดฝุ่น PM2.5” และ “รถคันนี้ #ลดฝุ่น” การสนับสนุนให้มีการลงทะเบียน Green List สำหรับรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการข้างต้น การพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจให้ลงทะเบียนสำหรับรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ เช่น ส่วนลดค่าจอดรถในห้างสรรพสินค้า หรือสิทธิประโยชน์จากผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ ตลอดจนการเตรียมการแถลงข่าวร่วมกันเพื่อประกาศรายละเอียดมาตรการทั้งหมดในช่วงปลายเดือนตุลาคม
สำหรับการประชุมในวันนี้ นายณรงค์ เรืองศรี ปลัดกรุงเทพมหานคร นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร นายคุณานพ เลิศไพรวัลย์ ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักสิ่งแวดล้อม และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม