ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
“เงินผัน ประกันราคาพืชผล ส่งเสริมสภาตำบล คนจนรักษาฟรี” คือนโยบายที่ทำให้พรรคกิจสังคม “ดังกระหึ่ม”
นโยบายเหล่านี้คือสิ่งที่พรรคไทยรักไทยในอีก 26 ปีต่อมา ใน พ.ศ. 2544 ที่พรรคนี้ได้เป็นรัฐบาลได้เอามาใช้ ซึ่งจะได้เล่าให้ฟังเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง อย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ก็มีเค้าโครงของเงินผันอยู่พอควร หรือ คนจนรักษาฟรี ก็คือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคนั่นเอง แต่ในทางการเมืองแล้วนโยบายของพรรคกิจสังคมใน พ.ศ. 2518 คือรากฐานสำคัญของการสร้าง “พลังประชิปไตยสมัยใหม่” ที่ได้ส่งผลในอีก 30 ปีต่อมา คือการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2548 และขบวนการภาคประชาชนที่ตามมาหลังจากนั้น ซึ่งจะได้เชื่อมโยงให้เห็นเมื่อถึงเวลานั้นเช่นกัน
ย้อนกลับไปในเรื่องของพรรคกิจสังคมใน พ.ศ. 2518 อีกครั้ง นอกจากจะได้แก้ปัญหาในประเทศเรื่องการว่างงานในฤดูแล้งที่ใช้นโยบาย “เงินผัน” เข้าไปแก้ จนได้รับเสียงต้อนรับอย่างฮือฮานั้นแล้ว ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญปัญหาจากภายนอกประเทศ คือการรุกรานของกองทัพคอมมิวนิสต์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกัมพูชาที่พรรคคอมมิวนิสต์เข้ายึดครอง ด้วยการสนับสนุนของเวียดนาม ได้เคลื่อนกองทัพเข้ามาประชิดชายแดนไทยด้านทิศตะวันออก ซึ่งได้สร้างความตื่นกลัวให้กับคนไทยทั้งประเทศ รัฐบาลจึงต้องรีบแก้ปัญหานี้โดยด่วน ด้วยการที่นายกรัฐมนตรีคือ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ไปเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (เรื่องนี้ได้นำเสนอโดยละเอียดในช่วงแรก ๆ ของบทความชุดนี้แล้ว เพราะบทความชุด “คึกฤทธิ์ชีวิตไทย” นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรำลึกถึงคุณูปการของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของการฟื้นสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับจีนนี้โดยเฉพาะ จึงไม่ขอนำเสนอซ้ำ) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี คือนอกเหนือจากทำให้การรุกรานของคอมมิวนิสต์เวียดนามและกัมพูชาหยุดชะงักได้แล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในอีกหลาย ๆ เรื่องตามมา โดยเฉพาะการช่วยเหลือในทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การท่องเที่ยว การศึกษา และด้านวัฒนธรรมประเพณี (คือสัมพันธ์ที่แนบแน่นมากขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน)
อย่างไรก็ตามรัฐบาลของพรรคกิจสังคมก็ยังอยู่ในภาวะ “ไร้เสถียรภาพ” อันเกิดจากความเป็นรัฐบาลผสม มีพรรคต่าง ๆ มาร่วมกันเป็นรัฐบาลนับสิบพรรค ที่สื่อมวลชนเรียกว่า “รัฐบาลร้อยพ่อพันแม่” โดยแต่ละพรรคก็เรียกร้องเอาผลประโยชน์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรี แม้จะมีการจัดสรรให้ตามโควตา หรือสัดส่วนจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคแล้ว ก็ยังมีความไม่พอใจ ถึงขนาดที่บางพรรคมีการ “จัดคิว” ของการเป็นรัฐมนตรี ว่าให้คนนี้เป็นก่อนสัก 3 เดือน แล้วให้คนอื่น ๆ รอไปตามคิว บางพรรคก็จัดแบ่งตำแหน่งแบบเก้าอี้ดนตรี แบบใครเข้าหาผู้ใหญ่ในพรรคได้ไวกว่าก็ได้ตำแหน่งไป จนถึงขั้นที่การแย่งชิงด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ แม้แต่การเลื่อยขาเก้าอี้ของคู่แข่ง ส่วน ส.ส.ที่ไม่ได้มีอาวุโสหรือกำลังพอที่จะเป็นรัฐมนตรี ก็มีการต่อรองด้วยการขอเงินสนับสนุนค่ายกมือในการโหวตกฎหมายและญัตติต่าง ๆ รัฐบาลต้องเอาใจ ส.ส.อยู่ตลอดเวลา สื่อมวลชนเรียกภาวะเช่นนี้ว่า “จับปูใส่กระด้ง” คือเอาใจกลุ่มนี้แล้ว อีกกลุ่มก็เรียกร้องเอาอีกบ้าง โดยคนที่มี “ความทุกข์” มากที่สุดก็คือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคแกนนำของรัฐบาล ที่ต้องดูแลทั้งคณะรัฐบาล ส.ส.ในสภา และ ส.ส.ของพรรคกิจสังคมเอง
ออกมาที่นอกสภา ในสมัยนั้นต้องถือว่าเป็นยุค “ประชาธิปไตยเบ่งบาน” อันเป็นผลจากกระแสอารมณ์ของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวและปัญญาชน ที่ทึกทักเอาว่าพวกเขาเป็นคนที่นำประชาธิปไตยคืนมาให้ประเทศไทย ภายหลังจากที่ได้ทำการขับไล่ผู้นำทหารออกนอกประเทศ หลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 สภาพการณ์ก็คือได้เกิดกลุ่มกดดันเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ไปทั่วประเทศ ทั้งในเรื่องค่าจ้างแรงงาน ราคาพืชผล ที่ดินที่ทำกิน ชนกลุ่มน้อย และความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ (มีข้อมูลรวบรวมไว้ว่า ใน พ.ศ. 2518 มีการเดินขบวนของกลุ่มต่าง ๆ กว่า 2,000 ครั้ง แม้แต่ในโรงเรียนชายล้วนก็มีการเรียกร้องขอไว้ผมยาว หรือในโรงเรียนหญิงล้วนก็ขอใส่กางเกงมาเรียน เป็นต้น) ทั้งที่เป็นความวุ่นวายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเกิดความเสียหายรุนแรง บางแห่งก็มีการกระทบกระทั่งกัน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมถึงการทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ รวมทั้งที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรี คือท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์โดยตรง นั่นก็คือเหตุการณ์ที่ตำรวจบุกบ้านพักของท่านในซอยสวนพลู ซึ่งก็มีความเสียหายพอสมควร แต่สิ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์รู้สึกเสียใจและสะเทือนใจมาก ๆ ไม่ใช้ตัวบ้านเรือนหรือข้าวของที่ถูกทำลายเสียหาย แต่เป็น “สัตว์เลี้ยง” จำนวนมากที่บ้างก็ตายจากน้ำมือของผู้บุกรุก และบ้างก็ “เสียขวัญ” จากการกระทำที่ป่าเถื่อนนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ก่อนหน้านั้นตำรวจได้จับกุมชาวบ้านที่จำหวัดลำพูน เกี่ยวกับการบุกรุกที่ทำกิน แล้วมีการเรียกร้องให้ปล่อยตัว นายกรัฐมนตรีคือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ตอนนั้นเพิ่งมานั่งรักษาการณ์เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ก็สั่งให้ตำรวจปล่อยตัวชาวบ้านเสีย สร้างความไม่พอใจให้กับตำรวจบางส่วน ซึ่งได้มานัดหมายชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง ตั้งแต่เช้าของวันที่ 20 สิงหาคม จากนั้นในตอนบ่ายก็เดินทางข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้ามาที่ถนนสาธร จนมาถึงซอยสวนพลู ตอนนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์พร้อมกับสองสุนัขคู่ใจ คือ “สามสี” กับ “เสือใบ” ได้อพยพไปอยู่ที่โรงพักทุ่งมหาเมฆ และย้ายข้าวของกับทรัพย์สินที่มีค่าไปไว้ที่บ้านลูกชายที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้นแล้วบางส่วน กลุ่มตำรวจได้ทำลายข้าวของในบ้านเสียหายเป็นจำนวนมาก มีการค้นคุ้ยและหยิบฉวยเอาข้าวของที่ย้ายหนีไม่ทันไปจำนวนมาก รวมถึงค้นตู้เตียงในห้องนอนเพื่อหาทรัพย์สินจนกระจุยกระจาย แต่ที่เจ้าของบ้านเสียดายและเสียใจมากก็คือ นกขุนทอง 3 กรงที่แขวนไว้ใต้ถุนบ้านริมบ่อน้ำถูกฆ่าตาย กับปลากัดในขวดโหลหลายสิบขวดถูกทุบแตกตายดิ้นอยู่เต็มชานเรือนบนบ้าน ส่วนสุนัขอีกกว่าสิบตัวที่ย้ายไปไม่ได้ แต่พ่อบ้านได้เอาไปหลบไว้ที่บ้านของเขาด้านหลัง แม้จะปลอดภัยแต่ว่าตั้งแต่คืนนั้นก็หอนด้วยเสียงโหยหวนไม่หยุดมาอีกหลายวัน ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า “พวกเขา” คือหมา ๆ เหล่านี้คงเศร้าใจมาก ๆ เหมือนกับท่านเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ถามท่านว่าจะฟ้องเอาผิดตำรวจเหล่านี้หรือไม่ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ตำรวจก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่มีครอบครัว ไปเอาผิดเขาหรือจับเขาเข้าคุก เขาก็หมดอนาคต พ่อแม่หรือลูกเมียเขาก็ลำบากไปด้วย.. และวันนั้นถ้าผมให้ตำรวจที่อื่นมาป้องกันบ้านผม เกิดมีการยิงกันตาย แล้วผมจะเอาแรงที่ไหนไปทำลูกคืนให้เขา” ซึ่งท่านก็บอกกับลูกศิษย์ลูกหาในโอกาสต่อ ๆ มาว่า “นี่แหละที่เรียกว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา แก้แค้นกันก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าให้อภัยก็จะเป็นที่สรรเสริญตลอดไป”
เรื่องตำรวจบุกพังบ้านและทำลายชีวิตสัตว์เลี้ยงของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นี้ ได้มีผู้ที่ยังแค้นแทนท่านไม่หายไปสืบความหาความจริง พบว่าเป็นเรื่องของการเมืองโดยแท้ คือมีผู้เสียอำนาจไปยุงยงตำรวจให้มาชุมนุมกันที่สนามหลวง โดยก่อนหน้านั้นมีนายตำรวจใหญ่ ๆ หลายคน ไปกินข้าวกันที่โรงแรมหรูแถวสีลม มีการพูดคุยเอาสาเหตุที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์สั่งปล่อยชาวบ้านที่ถูกจับที่ลำพูน มาจุดชนวนนำตำรวจมาชุมนุมกัน เมื่อมาชุมนุมที่สนามหลวงก็มีการเลี้ยงเหล้ากันจนเมามาย แล้วเดินบุกมาพังบ้านของท่านที่ซอยสวนพลูดังกล่าว อนึ่งถ้าใครได้เคยไปเยี่ยมชมบ้านหลังนี้ ที่ใต้ถุนบ้านใกล้โต๊ะรับประทานอาหารตรงกลาง ซึ่งชั้นบนก็คือเรือนหลังแรกที่เป็นเรือนโบราณที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ซื้อมา อันเป็นเรือนที่มีประตู “ตกน้ำมัน” เพดานที่ตรงกับประตูบานนี้จะเห็นรอยกระสุนอยู่ 3 รู ซึ่งเจ้าของบ้านไม่ยอมให้ช่างอุดซ่อม โดยท่านบอกว่า “เอาไว้ดูเตือนใจ”
จะเตือนใจถึงอะไรนั้นก็ไม่ใครกล้าเดา แต่ในวันต่อมาหลังจากที่ตำรวจบุกมาพังบ้าน ประตูบานข้างบนเรือนรับรองบานนี้ก็มีน้ำมันไหลซึมออกมาจำนวนมาก “คุณย่า” ที่ยังอยู่ในบานประตูนี้คงเศร้าเสียใจมาก ๆ เช่นกัน