ภาพผู้สูงอายุออกมาเต้นหน้ากล้อง บางรายใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่พบในปี 2025 จากการที่ Facebook เปิดให้ผู้ใช้สามารถหารายได้จากการโพสต์ของตนเอง
ในปี 2025 Facebook หรือ Meta ได้เดินหน้าขยายโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างรายได้จากคอนเทนต์มากขึ้น ผ่านโปรแกรมที่อนุญาตให้รับค่าตอบแทนจากยอดเข้าชมวิดีโอ Reels, โพสต์, และแม้กระทั่ง Stories ซึ่ง TechCrunch รายงานเมื่อเดือนมีนาคมปีเดียวกันว่า Facebook เริ่มทดลองจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนการดูบน Stories โดยตรง เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้โพสต์บ่อยขึ้นและรักษาการมีส่วนร่วมของผู้ชมให้ต่อเนื่อง ผลลัพธ์คือจำนวนครีเอเตอร์หน้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ feed ของผู้ใช้ทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่ส่วนตัวเป็นสนามแข่งขันทางเนื้อหาโดยไม่รู้ตัว
ข้อมูลจากรายงาน Digital 2025: Thailand โดย DataReportal ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราผู้ใช้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน คิดเป็น 91.2% ของประชากรทั้งหมด มีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 51 ล้านบัญชี คิดเป็น 71.1% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3.7% มีสัดส่วนการใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่มผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 86.6%
เว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดต่อเดือนคือ Google ครองอันดับ 1 ด้วยยอดเข้าชมกว่า 900 ล้านครั้ง YouTube 468 ล้านครั้ง และ Facebook 312 ล้านครั้ง โดย Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้มากที่สุด 90.7% ไลน์ 90.6% Tiktok 85.7%
ตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นความหนาแน่นของผู้ใช้งาน Facebook ที่ยังคงสูงแม้แพลตฟอร์มจะผ่านจุดอิ่มตัวมาหลายปี นั่นหมายความว่าแทบทุกคนที่ออนไลน์ในไทย ล้วนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และกำลังเผชิญกับอัลกอริทึมที่ให้รางวัลกับความถี่ในการโพสต์ มากกว่าคุณภาพของเนื้อหา
การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ใช่คนดังหรือมีฐานแฟนคลับมาก่อน หลายคนเริ่มมีรายได้จากคลิปสั้นหรือโพสต์ที่มียอดแชร์สูง อาจเป็นรายได้ไม่มากสำหรับมืออาชีพ แต่ถือว่าน่าสนใจสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่เพิ่งเริ่มต้น เพราะทำให้ทุกคนมีโอกาสเป็นครีเอเตอร์ได้
อย่างไรก็ตาม โอกาสทางรายได้ก็มาพร้อมผลข้างเคียงที่สังเกตได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออัลกอริทึมให้ค่ากับความถี่และ engagement มากกว่าความคิดสร้างสรรค์ ผู้ใช้จำนวนไม่น้อยเริ่มผลิตเนื้อหาซ้ำ ๆ ตามกระแสเพื่อรักษาการมองเห็นของเพจ หลายคนโพสต์วันละหลายครั้ง แม้ไม่มีสิ่งใหม่จะเล่า การทำตามกัน กลายเป็นพฤติกรรมหมู่ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของระบบ มากกว่าจะเป็นความตั้งใจเลียนแบบกัน
ความรู้สึกของผู้ใช้จึงเริ่มแปรเปลี่ยนจากการเสพคอนเทนต์เพื่อเชื่อมโยงกับเพื่อนหรือแรงบันดาลใจ ไปสู่การเสพเพื่อให้ระบบเห็น เมื่อ feed เต็มไปด้วยโพสต์ที่พยายามขายความสนใจมากกว่าความจริงใจ ความสัมพันธ์ในคอมมูนิตี้ก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์เชิงตัวเลข ยอดไลก์ ยอดแชร์ ยอดดู
ถึงอย่างนั้น การเติบโตของระบบครีเอเตอร์ก็ยังมีด้านบวกที่ไม่อาจมองข้าม ช่วยเปิดประตูให้ผู้คนในต่างจังหวัด ศิลปินอิสระ หรือคนทำงานประจำที่อยากสื่อสารสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิต ได้มีเวทีแสดงออกและรายได้พอเป็นแรงใจ และเมื่อการแข่งขันสูงขึ้นในระดับมหภาค ก็มีครีเอเตอร์จำนวนไม่น้อยที่พัฒนาเนื้อหาของตนให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้โดดเด่นท่ามกลางกระแสซ้ำซาก
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือแรงกดดันทางจิตใจที่แฝงมาโดยไม่รู้ตัว หลายคนเริ่มรู้สึกว่าต้องอยู่ในเกมตลอดเวลา ต้องโพสต์ ต้องอัปเดต ต้องอยู่ในสายตา ระบบการให้รางวัลของแพลตฟอร์มจึงค่อย ๆ แปลงความสนุกให้กลายเป็นภาระ ความเป็นตัวตนออนไลน์เริ่มเบียดบังตัวตนจริง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นที่มองรายได้จาก Facebook เป็นรายได้เสริม หรือแม้แต่ทางรอดทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับรายได้ในภาพรวมและสัดส่วนของเนื้อหาที่คุณภาพต่ำต่อเนื้อหาทั้งหมดในไทย รวมถึงผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้ใช้ในระยะยาว เพราะแม้ DataReportal และ Meta เองจะมีสถิติด้านจำนวนผู้ใช้และ engagement rate แต่ก็ยังไม่มีตัวชี้วัดเรื่องคุณภาพของเนื้อหาอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งนี้อาจกลายเป็นโจทย์สำคัญในอนาคต หากแพลตฟอร์มต้องการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจของครีเอเตอร์กับสุขภาวะของคอมมูนิตี้โดยรวม
สุดท้าย ภาพของผู้สูงอายุใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเต้นหน้ากล้อง หรือการเติบโตของครีเอเตอร์บน Facebook ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด หากเป็นภาพสะท้อนของโครงสร้างสังคมดิจิทัลในยุคที่ความเป็นเจ้าของพื้นที่ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นการแข่งขันเพื่อมองเห็น และในโลกที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ผลิตได้ ความท้าทายที่แท้จริงอาจไม่ใช่การโพสต์ให้มากที่สุด แต่อยู่ที่ว่า จะยังรักษาความหมายของการสื่อสารไว้ได้อย่างไร ท่ามกลางเสียงที่ดังขึ้นทุกวันในเมืองครีเอเตอร์แห่งนี้