บอย อินชัวร์
NAA National Agent Awards หรือ รางวัลคุณวุฒิ National Agent Awards นับเป็นรางวัลคุณวุฒิตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติที่เป็นหนึ่งในเวทีสร้างแรงบันดาลใจให้นักขายสร้างความยั่งยืนในอาชีพนักขายประกันชีวิตอย่างมืออาชีพก็ว่าได้
โดยล่าสุดงานมอบรางวัลนี้เพิ่งจัดเสร็จสิ้นไปหมาดเมื่อเดือน ก.ย. ที่แล้ว โดยสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อเชิดชูตัวแทนประกันชีวิตที่มีผลงานยอดเยี่ยมและเป็นแนวหน้าของอุตสาหกรรม และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวแทนประกันชีวิต และมีความสำคัญกับการเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จและความเป็นมืออาชีพตัวแทนประกันชีวิตในระดับประเทศและเป็นเกียรติยศสูงสุดที่ตัวแทนจะได้รับจากการทุ่มเททำงานหนักและสร้างผลงานที่เป็นเลิศ
แต่รู้หรือไม่คุณวุฒิรางวัล NAA นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง เชื่อว่ามีผู้คนยังไม่มากที่ทราบเรื่องนี้
ล่าสุด นายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ กูรูวงการการเงินและประกันภัย และอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA) ได้โพสต์บนเพจส่วนตัวเล่าถึง "ตำนานการสร้างแบรนด์ National Agent Awards (NAA)" ให้รายละเอียดน่าสนใจ โดยนายบรรยงระบุว่า ท่านทราบหรือไม่ว่า รางวัลตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ ที่ทุกคนใฝ่ฝันที่จะได้มาครอบครองนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เป็นรางวัลที่หลายคนเมิน ไม่เห็นค่า เชื่อไหมว่า ในบางปี ลำดับ 1-10 ซึ่งจะได้รับถ้วยรางวัลที่มีลายเซ็นท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และท่านอธิบดีกรมการประกันภัย มีคนมารับเพียง 6-7 คน อีก 3-4 คนไม่เห็นค่า ไม่มารับรางวัล
วันนี้ จึงขอเท้าความถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของรางวัลนี้ เมื่อ 25 ปีที่แล้ว คือปี 2543 คุณมนตรี แสงอุไรพร นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตในขณะนั้น ได้ทราบว่าในต่างประเทศ สมาคมตัวแทนประกันชีวิตจะเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดงานเชิดชูเกียรติของตัวแทนประกันชีวิตด้วยกัน จึงมีดำริที่จะจัดงานมอบรางวัลตัวแทนประกันชีวิตยอดเยี่ยมแห่งชาติ National Agent Awards (NAA)

การจัดงานครั้งแรกได้ให้ คุณวิทยา ชาญพาณิชย์ ซึ่งเป็นเลขาธิการสมาคมในขณะนั้น เป็นประธานจัดงาน ถือเป็นประธานจัดงานคนแรกของงาน National Agent Awards (NAA) ลักษณะของการจัดงานคือ จัดงานในช่วงบ่าย เป็นประชุมวิชาการพ่วงงานมอบรางวัล โดยขอให้บริษัทใหญ่ ๆ เช่น บริษัทเอไอเอ บริษัทไทยประกันชีวิต เมืองไทยประกันชีวิต หรือไทยสมุทรประกันชีวิต ช่วยกันเป็นสปอนเซอร์ สมาคมจะมอบบัตรเข้าฟังวิชาการให้ ช่วงกึ่งกลางก็จะเชิญ อธิบดีกรมการประกันภัย ขึ้นมามอบรางวัลอันดับ 1-10
ส่วนอันดับอื่น ๆ ก็ให้นายกสมาคมและกรรมการเป็นคนมอบ จนครบ 100 คน โดยถือเอาผลผลิตที่แต่ละบริษัทส่งมาให้ จัดลำดับผลผลิตสูงสุด 100 อันดับแรกของประเทศไทย
ถ้วยรางวัลอันดับ 1-3 จะขอลายเซ็นท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ อยู่บนถ้วยเบญจรงค์นั้น ส่วนอันดับที่ 4-10 ก็จะขอลายเซ็นของท่านอธิบดีกรมการประกันภัย สมาคมเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการทำถ้วยรางวัลทั้งหมด โดยที่ผู้ติดคุณวุฒิไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนอันดับที่ 11-100 ก็จะได้รับเป็นประกาศนียบัตร แต่ทุกคนก็จะได้รับสิทธิ์ในการตีพิมพ์รูปลงในหนังสือพิมพ์ระดับประเทศ ซึ่งสมาคมเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์
ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น เชื่อไหมว่ามีตัวแทนเพียง 70% ที่เข้าร่วมงานมอบรางวัลหรือส่งรูปมาให้สมาคมตีพิมพ์ ที่เหลือ พวกเขาไม่เห็นค่าของการประชาสัมพันธ์ตนเอง อาจจะเป็นไปได้ว่าตัวแทนบางคนเป็น ดัมมี่โค้ด จึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตน หรือไม่ต้องการลงภาพให้ใครเห็น ขณะที่บางคนอาจจะอยู่ต่างจังหวัด มองว่าไม่คุ้มค่าที่จะมา บางคนก็ให้เหตุผลว่าเป็นรางวัลในประเทศ จัดกันเอง สู้คุณวุฒิ MDRT ที่มอบโดยองค์กรระดับโลกไม่ได้
เมื่อ คุณบุญชัย หรูตระกูล เป็นนายกสมาคม ตอนนั้นผมได้ช่วยงานเป็นเลขาธิการสมาคม ได้ฟังคุณบุญชัยพูดให้แนวคิดว่า “เราจัดงาน NAA สมาคมขาดทุนทุกปี เพราะค่าบัตรที่แต่ละบริษัทช่วยซื้อมานั้นก็พอเพียงสำหรับค่ากาแฟและทำถ้วยรางวัล แต่สมาคมยังต้องหาเงินอีกประมาณ 50,000 บาทเพื่อลงภาพของผู้รับคุณวุฒิทุกคนในหนังสือพิมพ์ หนึ่งหน้าเต็ม“ คุณบุญชัยพูดมาคำหนึ่ง ซึ่งผมยังจำอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่า “ถ้าพวกเราเป็นตัวแทนประกันชีวิต ไม่เชิดชูเกียรติพวกเรากันเอง แล้วเราจะให้ใครมาจัดงานเชิดชูเกียรติของพวกเรา”
ผมจึงเข้าใจความหมายว่า บางครั้งการจ่ายเงินออกจากกระเป๋า มันไม่จำเป็นต้องได้กำไรกลับมาเสมอไป ถ้าการจ่ายเงินครั้งนั้นเป็นไปเพื่อเกียรติ ศักดิ์ศรีของสมาชิกสมาคม เราก็ต้องยอมลงทุน แล้วค่อยไปหาทุนจากงานอื่น ๆ มาช่วยชดเชย
จนถึงสมัยที่ผมเป็นนายกสมาคม ตอนนั้นกรมการประกันภัยได้เปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และย้ายมาสังกัดกระทรวงการคลังแล้ว เมื่อท่านเลขาธิการ คปภ. ได้มามอบรางวัลอันดับที่ 1-10 พอประกาศชื่อแล้ว บางครั้งปล่อยให้ท่านเลขาธิการยืนเก้อ เพราะผู้รับรางวัลไม่มารับรางวัล และไม่แจ้งให้ทราบ โดยเฉลี่ยจะมีคนขึ้นมารับรางวัลเพียง 7 คนจาก 10 คนเสมอ

นับจากวันนั้น ผมในฐานะนายกสมาคม จึงประกาศเป็นนโยบายเป็นกฎเหล็กว่า จากนี้เป็นต้นไป ใครจะมารับรางวัลต้องคอนเฟิร์มตอบรับเข้าร่วมงาน ใครที่ไม่ตอบรับถือว่าสละสิทธิ์ (เพราะตอนนั้นให้สิทธิ์มารับฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย)
นอกจากนี้ อันดับ 1 ถึง 10 ต้องมาลงทะเบียนก่อนเวลา 12:00 น. หากเลยเวลาดังกล่าวไม่มาลงทะเบียน ให้ตัดชื่อออกแล้วเลื่อนอันดับที่ 11 เป็นต้นไปขึ้นมาแทน จนกว่าจะครบ 10 คน เพื่อเป็นหลักประกันว่าใน 10 คนที่รับถ้วยรางวัลจากท่านเลขาธิการนั้น มาแน่นอน และมารับครบทุกคน
ส่วนคนที่คอนเฟิร์มล่วงหน้ามาแล้ว 100 คนแรก หากถึงเวลา 12:00 น. แล้วยังไม่มา ก็ให้ตัวสำรองอันดับที่ 101 ขึ้นไป เข้ามารับรางวัล เสริมจนครบ 100 คน เพื่อเป็นหลักประกันว่า มีคนที่เห็นค่าและมารับรางวัล 100 คนแรกของประเทศไทยเสมอ
พอมาถึงสมัย คุณศิริภรณ์ พุทธรักษ์ เป็นนายกสมาคม ก็พยายามคิดค้นกันว่าจะทำอย่างไรให้คนเห็นค่าของรางวัลนี้ เพราะรางวัลนี้เป็น 100 อันดับแรก ของประเทศไทย ควรจะมีราคามากกว่ารางวัลอื่น ๆ
บังเอิญช่วงเวลานั้น ผู้อำนวยการสมาคมคือ คุณสมพงษ์ จูงฉัตราภรณ์ ได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมกิจกรรมงานมอบรางวัลประจำปีของสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินมาเลเซีย เขามีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ทุกปี ชื่องาน “ARKARD AWARD” โดยจัดเป็นงาน กาล่าดินเนอร์ ที่ศูนย์ประชุมที่เก็นติ้งไฮแลนด์ งานนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ซีอีโอของทุกบริษัทประกันชีวิตต้องไปปรากฏตัวในงาน และทุกคนก็จะแต่งกายหรูหราแนวทักซิโด้
คุณสมพงษ์จึงกลับมารายงานให้คุณศิริภรณ์ทราบ คุณศิริภรณ์จึงประชุมคณะกรรมการว่า จากนี้เราจะทำให้งานยิ่งใหญ่ ไม่แพ้งานมอบรางวัลของประเทศมาเลเซีย
ในปีถัดมา จึงจัดให้งานมอบรางวัลเป็นงานราตรีสโมสร ผู้รับรางวัลที่เป็นสุภาพสตรีก็ใส่ชุดราตรีสวยงาม ส่วนสุภาพบุรุษก็ใส่เป็นชุดสูทสากล พร้อมจัดเป็นงานเลี้ยงโต๊ะจีน แทนที่จะเป็นห้องประชุมฟังวิชาการอย่างเดียว และเริ่มมีการเก็บค่าสมาชิก สำหรับผู้เข้ารับรางวัล 100 อันดับแรก เพื่อเป็นค่าสถานที่และค่าอาหาร อีกทั้งยังได้มีการว่าจ้างดารามาร่วมงานด้วย ทำให้งานดูหรูหรามีระดับ
มาถึงสมัย คุณทวีเดช งามขจรกุล ก็ดำเนินต่อจากคุณศิริภรณ์ พร้อมกับได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่าง ๆ เข้าร่วมมากยิ่งขึ้น ทำให้งานดูหรูหราเป็นที่ใฝ่ฝันของตัวแทนประกันชีวิตที่อยากมาร่วมงาน
พอมาถึงสมัย คุณบงกช บวรฤกษ์ เป็นนายกสมาคมมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่าง กล่าวคือ จากเดิมที่มีการมอบรางวัลเพียงแค่ 100 อันดับแรกของประเทศไทย ที่ประชุมกรรมการบริหารสมาคมมีมติว่า เนื่องจากอันดับที่ 100 มีเบี้ยมากกว่าห้าล้านบาท ดังนั้น หากใครมีเบี้ยเกินห้าล้านบาทขึ้นไป ก็สามารถเข้ามารับรางวัลในงานนี้ได้ด้วย ปรากฏว่าปีแรกที่เปลี่ยนแปลงกฎนี้ มีคนมารับรางวัล กว่า 200 คน คุณบงกชยังสามารถเชิญรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง คือ ท่านอาคม เติมพิทยาไพสิฐ มาร่วมงานได้ ท่านรัฐมนตรีมามอบรางวัลและอยู่จนงานเลิก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อรัฐมนตรีมา ท่านเลขาธิการ คปภ. รวมถึงผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ก็เข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง ถือเป็นเกียรติกับสมาคมมาก
นอกจากนี้ ในแต่ละปี ก็ยังมีการประกาศ Theme ในการแต่งตัว เพื่อมารับรางวัล ทำให้งานดูมีสีสันหรูหรา เช่น ธีม Hollywood Night ธีมเจ้าชายเจ้าหญิง และธีมชุดไทย เป็นต้น จนท่านรัฐมนตรี (หรือบางปีก็เป็นปลัดกระทรวงการคลัง) ถึงกับเอ่ยปากว่า บุคลิกของตัวแทนประกันชีวิตแต่ละท่านดูดีมาก ในช่วงนั้น นายกบงกชได้ให้ยกเลิกการลงรูปในหนังสือพิมพ์ แต่ทำเป็นกราฟฟิกออนไลน์ ที่ให้แต่ละคนนำไปแชร์ใน Facebook หรือ LINE ส่วนตัวได้ ทำให้ประหยัดเงินไปได้ปีละนับแสนบาท ด้วยการลดต้นทุนในส่วนนี้เริ่มทำให้สมาคมมีกำไรจากการจัดงาน ถึงแม้จะไม่มากนัก แต่ก็ไม่ขาดทุนเหมือนทุกปีที่ผ่านมา
อีกอย่างหนึ่ง ที่ริเริ่มในสมัยคุณบงกชคือ การเพิ่มรางวัลพิเศษเพื่อจูงใจให้คนติดคุณวุฒิสมัครเข้าร่วมรับรางวัลอย่างต่อเนื่อง 10 ปีขึ้นไป ก็จะให้รับรางวัลเพิ่มที่เรียกว่า Hall of Fame จึงออกประกาศและเริ่มนับจำนวนปีตั้งแต่ปี 2563
เมื่อมาถึงสมัย คุณฐิติ ยศอนันตกูล ช่วงนั้นมีโรคโควิดระบาด ทำให้ไม่สามารถจัดงานเลี้ยงได้ คุณฐิติก็ได้จำลองการมอบรางวัลแบบเสมือนจริง (Virtual) ในห้องส่งขนาดใหญ่ของเอกชน เหมือนกับทีวีช่องต่าง ๆ ที่น่าประทับใจก็คือ ท่าน รมต.คลัง ท่านอาคม ก็ยังเดินทางมาร่วมงาน ท่านให้เหตุผลว่า ”ธุรกิจประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่สำคัญในการระดมเงินออมเพื่อพัฒนาประเทศ ผมเห็นความสำคัญ ผมจึงต้องมาร่วมงาน ถ้าไม่ติดอะไรจริง ๆ“ จนมาถึงสมัยนายก ประภาพร ลิขสิทธิ์ ท่านก็ยังคงดำเนินการสร้างภาพลักษณ์ของงานมอบรางวัลนี้อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา ก็ให้ผู้รับรางวัลแต่งชุดมาในธีมชุดไทย พอมาถึงปีนี้ ก็จัดให้มีการมอบรางวัล Hall of Honor สำหรับคนที่รับรางวัลต่อเนื่องห้าปีขึ้นไป มีผู้รับรางวัลกว่า 30 ท่าน

งาน NAA ล่าสุด ได้จัดที่ The Banquet Hall at Nathong ในวันที่ 9 กันยายน 2568 ถือเป็นปีที่ 25 มีผู้ติดคุณวุฒิทั้งหมด 397 ท่าน แต่เข้ารับรางวัลบนเวทีประมาณ 300 ท่าน เมื่อรวมกับแขกวีไอพีและผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ คาดว่าจะมีคนในงานทั้งหมดประมาณ 450 คน ถือว่าเป็นงานขนาดใหญ่ ที่มีคนอยากมาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับข้อมูลผู้ที่สามารถทำผลงานได้เบี้ยประกันชีวิตสูงสุดในปีที่ผ่านมานั้น คือ คุณเพชรรัตน์ รงค์บัณฑิต มียอดขายในปีที่ผ่านมา 39 ล้านบาท (ขายคนเดียวไม่ใช่ทั้งทีม) ขณะที่อันดับสอง สามารถสร้างผลงานเบี้ยประกันชีวิต 37 ล้านบาท และอันดับที่สามอยู่ที่ 32 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นผลงานที่เชิดหน้าชูตาให้กับอุตสาหกรรมประกันชีวิตประเทศไทยได้ (โดยปีก่อนผู้ที่รับรางวัลทำผลผลิตเบี้ยประกันชีวิตได้สูงสุดก็คือ คุณเพชรรัตน์ รงค์บัณฑิต คนเดิมซึ่งสามารถทำเบี้ยประกันได้สูงถึง 49 ล้านบาท)
ส่วนผู้เข้ารับรางวัลในงานปีนี้ทั้งหมด ประมาณ 300 ท่านนั้น คือผู้ที่มีผลงานยอดขายเบี้ยประกันชีวิตเกินกว่าห้าล้านบาททั้งสิ้น ท่านประธานจัดงานคือ คุณพิสิฐเวท ตั้งตระการ ได้บอกเล่าให้ผมฟังว่า ความจริงผู้ทำผลงานในประเทศไทยที่มีเบี้ยประกันเกินห้าล้านบาทนี้มีกว่า 600 คน (จากทุกบริษัทรวมกัน) แต่มีหลายคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคม จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรางวัล ขณะที่บางคนไม่สนใจที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง ทั้งที่บริษัทออกค่าใช้จ่ายให้ เพราะอยากจะอยู่แบบ low profile ตามบุคลิกของตน
สำหรับค่าใช้จ่ายที่สมัครเข้ารับรางวัลคนละ 3,000 บาทนั้น ท่านประธานจัดงานบอกว่า ขึ้นกับนโยบายของแต่ละบริษัท บางบริษัทก็ออกให้ 50 หรือ 100 อันดับแรก ส่วนที่เหลือก็ช่วยค่าใช้จ่ายบางส่วน ขึ้นกับนโยบายของแต่ละบริษัทไป
ต้องบอกว่า ณ เวลานี้ ภาพลักษณ์ของคนที่ได้รับรางวัล NAA เปลี่ยนไปพอสมควร เพราะผู้ที่มีสิทธิ์ขึ้นรับรางวัลนี้ คิดเป็นคนเพียง 0.1% ของตัวแทนประกันชีวิต 250,000 คนในประเทศไทย ถือเป็น Cream of the cream
จะเห็นได้ว่า กว่าที่เราจะสร้างแบรนด์ของรางวัลหนึ่งขึ้นมาได้นั้น ต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของหลายฝ่าย
#NAANationalAgentAwards #THAIFA #สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน #รางวัลตัวแทนประกันชีวิต #ประกันชีวิต #ตัวแทนประกัน #กูรูประกัน #ประวัติศาสตร์ประกันชีวิต #การสร้างแบรนด์ #คปภ.