BEDO-UNDP โชว์ศักยภาพ! ประจวบคีรีขันธ์ พลิกเกมอนุรักษ์สู่ "ท่องเที่ยวชีวภาพ" สร้างรายได้หลักให้ชุมชนแบบยั่งยืน
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ได้ร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) และการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของ "โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน" ซึ่งได้พลิกโฉมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ให้เป็นต้นแบบของการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ความสำเร็จเหล่านี้ถือเป็นบทสรุปที่มีชีวิตของโครงการทั้งหมด และได้ถูกนำมาจัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบในงาน “BioMart Hua Hin 2025” มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าชีวภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งได้มีการจัดงานไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ถึง 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin ที่ผ่านมา

เปลี่ยน 'ภาระ' สู่ 'การลงทุนที่ชาญฉลาด'
ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญของโครงการฯ ว่า “BEDO มีเป้าหมายหลักในการผลักดันนโยบายตอบสนองต่อเป้าหมายระดับโลกในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและ Nature Positive เพื่อหยุดยั้งและฟื้นฟูการสูญเสียธรรมชาติภายในปี 2030 โดยใช้ปี 2020 เป็นปีฐาน และมุ่งให้เกิดการฟื้นฟูธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050 BEDO เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมให้ ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้าง ‘รายได้’ ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนท้องถิ่นได้ ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมกระบวนทัศน์ดั้งเดิมที่มักมองว่าการอนุรักษ์เป็นเพียงภาระหรือต้นทุนที่ชุมชนต้องแบกรับ ให้กลายเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดในสินทรัพย์ทางธรรมชาติที่มีอยู่ การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนในรูปของตัวเงิน แต่ยังสร้างคุณค่าที่ประเมินไม่ได้ ทั้งความภาคภูมิใจในท้องถิ่น การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการเป็นผู้พิทักษ์ทรัพยากรอันล้ำค่าด้วยตนเอง โดยไม่ได้มองพื้นที่เป้าหมายเหล่านี้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่มุ่งเน้นยกระดับให้เป็น ‘พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต’ ซึ่งแตกต่างกับการท่องเที่ยวทั่วๆไป นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เป็นผู้มีส่วนร่วมในวงจรแห่งความยั่งยืน การใช้จ่ายของของนักท่องเที่ยวจะถูกส่งตรงกลับไปบำรุงรักษาระบบนิเวศที่พวกเขากำลังชื่นชม และกิจกรรม ‘BEDO Reach to Love’ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นได้และประสบความสำเร็จแล้วอย่างไร การจัดเส้นทางต้นแบบ “กุยบุรี-สามร้อยยอด” นี้จึงเปรียบเสมือนบทสรุปที่มีชีวิตของโครงการทั้งหมด เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยและแผนงานต่างๆ ออกมาจากหน้ากระดาษ มาสู่การสัมผัสจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้อย่างไร โดยแต่ละสถานที่ที่ไปเยือนนั้น ไม่ได้ถูกเลือกมาอย่างบังเอิญ แต่จะสะท้อนผลลัพธ์ของโครงการในมิติต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่โมเดลการจัดปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับ สัตว์ป่าที่กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงนวัตกรรมชุมชนที่เปลี่ยนของเหลือใช้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่า และการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้คือจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันเป็นภาพความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง”

ขณะที่ นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ว่า โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่โอบรับผู้คนและธรรมชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
“การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้นควบคู่ไปกับธรรมชาติ ที่จะช่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้”
โมเดลความสำเร็จ จากปัญหาช้างป่า สู่ 'ซาฟารีเมืองไทย'
โครงการฯ ได้ชูพื้นที่ปากน้ำปราณบุรี, อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นต้นแบบของการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพที่ชุมชนขับเคลื่อน โดยเฉพาะที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีนั้น โมเดลนี้ได้เปลี่ยนปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้างป่าที่เคยเป็นเรื่องใหญ่ในอดีต ให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับ เกิดการก่อตั้ง "Kuiburi Ecotourism Club" วิสาหกิจชุมชนที่สร้างรายได้จากการนำเสนอ "กิจกรรมนั่งรถซาฟารีชมช้างป่าและกระทิง" ซึ่งเป็นผลผลิตโดยตรงจากการอนุรักษ์ที่สำเร็จอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมจากภูมิปัญญา โดยชุมชนบ้านรวมไทยเปลี่ยน “มูลช้าง” ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษสาที่มีเอกลักษณ์ และใช้ “ผึ้ง” จาก "วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงชันโรงและผึ้งโพรงไทย" เป็นแนวป้องกันช้างเข้าพื้นที่เกษตร พร้อมสร้างอาชีพเสริมจากการขายน้ำผึ้งคุณภาพสูง ส่วนในพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งสามร้อยยอด อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด โครงการฯ ได้ช่วยรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศจนเกิด "วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยชุมชนบ้านหน้าทุ่งสามร้อยยอด" ที่สร้างชื่อจากกิจกรรม "ล่องเรือถ่อ" และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างผู้พิทักษ์รุ่นต่อไปผ่าน "วิสาหกิจชุมชนเด็กรักษ์ทุ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์" ที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อสารเรื่องราวของระบบนิเวศบ้านเกิด

มุ่งสู่การท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ
เรื่องราวความสำเร็จเหล่านี้ถูกนำมารวมและจัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบในงาน BioMart Hua Hin 2025 ซึ่งเป็นมากกว่าเวทีจำหน่ายสินค้า แต่คือบทสรุปที่พิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งมีการนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ "BEDO Reach to Love: เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์" ซึ่งมุ่งเน้นสร้างความผูกพันระหว่างนักท่องเที่ยวกับทรัพยากรท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง และตอกย้ำศักยภาพของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2570 ภายใต้การสนับสนุนของ GEF นั้น UNDP ยังเตรียมร่วมมือกับ BEDO นำระบบ Access and Benefit Sharing (ABS) มาใช้เพื่อปกป้องสิทธิของประเทศและชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและยั่งยืนอีกด้วย หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน จึงขอเชิญชวนให้ลองออกเดินทางไป "เที่ยวให้ลึกเพื่อที่จะรักษ์" ในพื้นที่ต้นแบบกุยบุรี-สามร้อยยอด เพื่อเป็นนักท่องเที่ยวที่มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรอันล้ำค่า และพิสูจน์ว่า 'เที่ยวแบบปังไม่พังธรรมชาติ' นั้นทำได้จริง!