เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 8 ต.ค. 68 ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังโครงการคนละครึ่งพลัสเริ่มเดินหน้า รัฐบาลจะมีการดำเนินการมาตรการอะไรต่อบ้างว่า เราพยายามจะวางรากฐานเศรษฐกิจให้มีความมั่นคงแข็งแกร่งให้มีการกระจายรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีนี้ และจะใช้ระยะเวลา 4 เดือนที่รัฐบาลชุดนี้ทำงานได้อย่างเต็มที่ วางแนวทางและหลักฐานที่ดีเพื่อที่จะรัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาจะได้สามารถเดินหน้าต่อยอดไปได้
เมื่อถามว่า หมายความว่าก่อนยุบสภาจะมีมาตรการออกมาอีกใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อาจจะมีมาตรการออกมาอีกเรื่อยๆ เฟส 1 เฟส 2 มีการเตรียมคิดไว้อยู่แล้ว รวมถึงเรื่องการท่องเที่ยวด้วย
เมื่อถามต่อว่า งบประมาณที่จะนำมาใช้มีเพียงพอใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนยึดถือวินัยการเงินการคลังเป็นสำคัญที่สุด ถ้าผู้สื่อข่าวสังเกต ไม่ใช่เราเอาเงินมาแล้ว มาแจกให้ประชาชนทั้งหมดอย่างเดียว แต่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย และที่สำคัญเราสามารถนำงบประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาทไปชำระหนี้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลัง ที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดตรงนี้จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลนี้ อย่างไรก็ตามจะรักษาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายที่สำคัญ
เมื่อถามอีกว่า กรณีที่นายกฯระบุว่า จะมีการผลักดันเศรษฐกิจให้ไทยผงาดในภูมิภาคจะมีแนวทางอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า เราตั้งเป็นเป้าหมาย ประเทศไทยเราเคยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้มาโดยตลอดแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม พอเรามีการพัฒนาไปเรื่อยๆเราก็อาจจะไม่เน้นการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้น กฎระเบียบเดิม ซึ่งไม่สอดคล้องกับกติกาใหม่ของโลกในปัจจุบัน ทางการค้าและเศรษฐกิจเราต้องกลับมาตั้งเป้าหมายใหม่ ตนเชื่อว่าประเทศไทยของเรา ที่เรามีภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีได้เปรียบประเทศอื่นๆมากมาย เราก็ไม่เสียหายอะไรที่จะต้องพุ่งเป้าว่าเราจะต้องกลับมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ให้ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อถามย้ำว่า แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจไม่ต่อเนื่องคือเรื่องของการเมือง นายกฯ กล่าว ปฏิเสธว่า ไม่ใช่การเมืองแต่เป็นการคอรัปชัน เราต้องสร้างระบบ เช่น สังคมดิจิทัล ที่การกระทำที่เป็นเรื่องทุจริตถูกตรวจสอบได้ สังคมข้อมูล สังคมข่าวสาร ความโปร่งใสตรวจสอบได้เหล่านี้เราต้องสร้างระบบขึ้นมาที่ทำให้คนที่อยู่ในสังคมหรืออยู่ในระบบนี้ ไปคิดแหวกแนวหรือพิเรนทร์ไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อถามต่อว่า ความไม่นิ่งทางการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุน นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่ามันก็นิ่งพอสมควรแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ทำตามที่เรามีคำมั่นสัญญากับทุกฝ่ายและเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ มันก็ชัดเจน พรรคไหนทำดีพรรคไหนฝีมือดีก็เลือกเขากลับมาทำงาน
เมื่อถามอีกว่า แต่การเปลี่ยนตัวรัฐบาลและผู้นำบ่อยๆ มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่จะเข้ามาในประเทศไทย นายกฯ กล่าวว่า ตนว่าญี่ปุ่นเปลี่ยนบ่อยกว่าเรา อังกฤษเปลี่ยนบ่อยกว่าเรา เรื่องความเชื่อมั่นอยู่ที่ระบบ อยู่ที่ประชาชน และอยู่ที่ความมุ่งมั่นในการที่จะสร้างหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ความเชื่อมั่นให้คนมองประเทศไทยเป็นอย่างไรใครจะมาใครจะไปไม่สำคัญเท่ากับการที่เราวางระบบที่ดี
เมื่อถามต่อว่า คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อมั่นคนนอกมากกว่า เช่น การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ โดยนายกฯ ได้หันไปทางนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรมว.คลัง และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน พร้อมกล่าวว่า ตรงนี้เป็น นักการเมืองหมด เป็นรัฐมนตรี เป็น politician(นักการเมือง) เราอย่าไปแบ่งแยกอย่างนั้น เขาเป็นคนมีฝีมือ
เมื่อถามอีกว่า หลังจาก 4 เดือนนี้ หากรัฐบาลได้กลับมา จะบอกได้หรือไม่ว่าเศรษฐกิจจะติดจรวด นายกฯ กล่าวว่า เอา 4 เดือนนี้ให้รอดก่อน เราทำทุกอย่างที่เราตั้งใจทำให้เกิดขึ้น ซึ่งก็ดีใจมาก อย่างโครงการคนละครึ่งพลัส เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นแล้ว การคืนหนี้ ธ.ก.ส. 3 หมื่นกว่าล้านบาท ที่ค้างมากว่า 10 ปีก็เกิดขึ้นวันแรกในการทำงานของรัฐบาล หลังจากที่เราแถลงนโยบาย อะไรที่เริ่มต้นดี กลัดกระดุมแรกถูก มันก็ควรที่จะถูกไปเรื่อยๆ ยกเว้นจะมีใครไม่ประสงค์ดีเสียก่อน
เมื่อถามว่า การที่มีทีมเศรษฐกิจที่ดีจะส่งผลดีต่อพรรคภูมิใจไทยด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวยืนยันว่า ตอนนี้มีแต่พรรคประเทศไทย เราทำงานเต็มที่เพื่อประเทศไทย และยังมีเรื่องปัญหาความขัดแย้งไทย - กัมพูชา ที่เราต้องทำให้เกิดความชัดเจนให้เขารับทราบ ว่าการที่เขาจะมองว่าเราจะยอมอ่อนข้อหรือไม่ทำอะไรเลยเป็นเพียงความฝัน เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทำทุกอย่างตามที่เรากำหนดไว้ สิ่งที่เรากำหนดไม่ใช่สิ่งที่ยาก แต่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความปลอดภัย กับประชาชนคนไทย และก่อให้เกิดความชัดเจนของอธิปไตย และเกิดความสงบเรียบร้อยของประเทศในภูมิภาค เราไม่ได้ขออะไรมากกว่านี้ ซึ่งเขาต้องทำตาม