วันที่ 8 ต.ค. 68 เวลา 09.39 น. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุมกมธ.วันนี้ ว่า ปัญหารื่องส่วยสัญชาติ ซึ่งเป็นการติดตามเร่งรัดบุคคลที่จะต้องได้สัญชาติที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ถ้าพูดถึงการเร่งรัดสถานะบุคคล เราได้รับความร่วมมือ มีการให้สัญชาติกับบุคคลที่ควรจะได้สัญชาติอยู่แล้ว 480,000 คน แต่ที่ผ่านมาแม้จะมีกระบวนการเร่งรัด ก็ยังมีปัญหาบางพื้นที่อาจราบรื่น แต่ยังมีบางพื้นที่ที่มีปัญหาในเรื่องของกระบวนการขั้นตอนราชการ อาจมีช่องว่างที่ทำให้เกิดการเรียกเงินกับบุคคลที่ควรจะได้รับสัญชาติ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนนี้มีการเรียกเก็บส่วยกันตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ซึ่งการดำเนินการไม่ง่าย พยายามทำให้สาวไม่ถึงตัวการ แต่ก็มีข้อร้องเรียนเรื่องนี้จำนวนมาก จึงมองว่าถ้าไม่มีมูลคงไม่มีการบอกเล่าจากชาวบ้าน แต่เรื่องสถานะบุคคลต้องย้ำว่าบุคคลเหล่านี้ควรจะได้อยู่แล้ว อยู่ในขั้นตอนกระบวนการที่ต้องได้ เพียงแต่เดิมที่ต้องพิสูจน์อะไรเยอะแยะ เสียทั้งเงินภาษีประชาชนเสียเวลา ที่บอกว่าให้ไปก่อนแล้วมาสอยทีหลัง ใครที่มีปัญหา ใครที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง มีกระบวนการติดตามอยู่แล้ว
นายรังสิมันต์ ระบุว่า ตอนนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แน่นอนว่าระดับในระบบราชการยังมีอยู่ แต่จะไกลขนาดไหนก็ต้องตรวจสอบ เรื่องการทุจริตแบบนี้ ถ้าไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ส่งสัญญาณมา ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเพราะฉะนั้นก็ต้องตรวจสอบ แต่เบื้องต้นเราพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นายมานพที่ได้รับเรื่องร้องเรียน แต่เรายังไม่เห็นความคืบหน้า กมธ.จึงต้องทำเรื่องนี้ ซึ่งจะทำการตรวจสอบเรื่องนี้ให้เต็มความสามารถ
" เรื่องการทุจริตตอนนี้ มีในส่วนที่อาจจะเกี่ยวพันกับกระทรวงมหาดไทย ผมคิดว่านายอนุทิน ที่เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้ อาจจะถูกมองว่าไปเกี่ยวข้อง และถูกกล่าวหาได้ว่ามีส่วนรู้เห็นในเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น " นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ที่ต้องพูดแรงแบบนี้เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลับ เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้และรู้ถึงขนาดที่ว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบแล้วแต่ยังเงียบ คำถามคือคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการอย่างไร ถ้าไม่ดำเนินการจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในกระทรวงมหาดไทยใช่หรือไม่ ก็จะกลายเป็นว่าสุดท้าย นโยบายที่อยากจะรักษาหลักนิติธรรม ต้องการที่จะแก้ปัญหาคอรัปชั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงลมปากที่พูดยังไงก็ได้ให้สวยให้หล่อ
ด้านนายมานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวว่า ส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นตอนของผู้นำชุมชน เป็นกลุ่มคนเดิม ๆ ที่เคยมีผลประโยชน์หากินกับเรื่องนี้ แต่ไม่ถึงหน่วยราชการ ซึ่งข้อมูลที่เราได้รับมาก็ได้ประสานไปยังแต่ละจังหวัด ทางอธิบดีกรมการปกครองก็ได้ลงไปติดตามเรื่องนี้ เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดส่วยสัญชาติ ในกรณีที่ตนได้รับจะประสานไปยังจังหวัดทันที นายอำเภอก็จะลงไปปฏิบัติการทันที วันนี้เราจะเห็นความก้าวหน้า และอุปสรรคเป็นอย่างไร รวมถึงข้อร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งการเสนองบประมาณที่ผ่านมาอยากให้เป็นโครงการเฉพาะสำหรับการแก้ปัญหาเรื่องสถานะบุคคลและสัญชาติ ซึ่งเราอยากให้มีเจ้าหน้าที่ทำงานเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องมีบุคลากร นอกเหนือจากบุคลากรเดิมที่ทำงานเกี่ยวกับสัญชาติ และการระบุสถานะบุคคลอยู่แล้ว ซึ่งในที่ประชุมจะได้หารือกันเรื่องนี้ด้วย
มานพ กล่าวอีกว่า เรื่องส่วยคิดว่ามีอยู่เกือบทุกพื้นที่ แต่เอาเข้าจริงเราหาหลักฐานไม่ได้หรือมีหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์พอ ที่จะนำไปสู่การดำเนินการ แต่หลักฐานที่มีก็จะส่งไปให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไปมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 29 ต.ค. 2567 มีฐานข้อมูลของกรมการปกครองอยู่แล้วไม่ได้เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่จะได้รับสัญชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่การให้สัญชาติกับพม่าหรือต่างด้าวที่หลายคนเข้าใจผิด