ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 ประเด็นเกี่ยวกับ โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ XFG หรือที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งชื่อว่า "Stratus" กลายเป็นที่จับตามองในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดย ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ออกมาแถลงข้อมูลเชิงลึกถึงสถานการณ์นี้ เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้กับประชาชน

XFG หรือ Stratus: ระบาดเร็ว แต่ยังไม่รุนแรง
สายพันธุ์ XFG เป็นสายพันธุ์ย่อยของ โอมิครอน ที่มีการกลายพันธุ์ของโปรตีนหนามหลายจุด ทำให้ไวรัสมีคุณสมบัติในการแพร่กระจายเร็วขึ้น และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นในบางกรณี ส่งผลให้ WHO จัดให้ XFG อยู่ในกลุ่ม Variant Under Monitoring (VUM) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568

อย่างไรก็ตามข้อมูลจากการติดตามในประเทศไทย พบว่า สายพันธุ์ XFG ยังไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ไข้ เจ็บคอ ไอ และน้ำมูก โดยสามารถรักษาตามอาการและหายได้เอง จนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2568 มีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XFG สะสมในประเทศไทย 34 ราย ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น
อย่างไรก็ตามระบบเฝ้าระวังของไทย นับเป็นจุดแข็งที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ได้ออกมาเน้นย้ำว่า ไทยมีระบบเฝ้าระวังที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง โดยมีการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสจากตัวอย่างที่ตรวจพบอยู่เสมอ ซึ่งในช่วง 1 เมษายน – 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มีการถอดรหัสแล้ว 613 ตัวอย่าง พบว่า สายพันธุ์ NB.1.8.1* พบมากที่สุด ร้อยละ 73.4 สายพันธุ์ XFG พบเพียง ร้อยละ 5.5 เท่านั้น (อันดับ 4)

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ ส่งข้อมูลพันธุกรรมไวรัสกว่า 48,870 ตัวอย่าง ไปยังฐานข้อมูลสากล GISAID เพื่อใช้ในการติดตามและวิจัยระดับโลก แสดงถึงความโปร่งใสและความร่วมมือในระดับสากล
แม้การแพร่ระบาดของXFG จะยังไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตก แต่เราก็ไม่ควรประมาท ปล่อยปะละเลยในการป้องกันตนเอง ยังควรปฏิบัติตามแนวทางป้องกันพื้นฐาน ไม่ว่าจเป็นการสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด ล้างมือบ่อย ๆ ตรวจ ATK เมื่อมีอาการผิดปกติ
เพราะแม่ว่าโควิดสายพันธุ์XFG หรือ Stratus อาจแพร่ได้ไว แต่ยัง ไม่มีหลักฐานว่าทำให้ป่วยหนัก ประเทศไทยสามารถตรวจพบและติดตามการกลายพันธุ์ได้ตั้งแต่ต้น นับเป็นข้อพิสูจน์ถึง ศักยภาพระบบสาธารณสุขของไทย ที่พร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ