ผู้การวิศรุฒน์
ความน่าสังเกต ของสังคมไทย โดยเฉพาะโลกโซเชียลฯ คือ ทันที ที่ แม่ทัพไก่ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ ขึ้นมาเป็น แม่ทัพภาค1 ก็กลายเป็น ความหวังในการมาจุดการ สถานการณ์ที่บ้านหนองจานและ หนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว อย่างเด็ดขาด พร้อมๆกับกระแสเชียร์สนับสนุน อย่างท่วมท้น
แตกต่างจากเมื่อครั้งที่แม่ทัพใหญ่พลโทอมฤต บุญสุยา เป็นแม่ทัพภาค1 ที่ถูกโจมตีอย่างหนัก และทันทีที่ส่งมอบหน้าที่แม่ทัพภาค1 ให้พล.ท.วรยส ก็ทำให้ พล.ท.วรยส เปรียบประหนึ่งฮีโร่ แม้จะยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่เลยก็ตาม

พล.ท.วรยส เอง ก็เป็นงาน และ รู้กระแสความต้องการของประชาชนรวมถึงเห็นบทเรียนของ พล.ท.อมฤต เมื่อครั้งเป็นแม่ทัพภาค 1 แต่เลือกที่จะเงียบไม่ออกสื่อไม่ให้สัมภาษณ์
จนมาถึงในห้วงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาถึงขั้นวิกฤตและ ถึงขั้นรบ และกองทัพภาค 1 ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว จะไม่ใช่สมรภูมิรบ แต่ในห้วงนั้นพล.ท.อมฤต เลือกที่จะเงียบและไม่ออกสื่อเช่นเคย
จนมาเกิดเหตุการณ์ที่บ้านหนองจาน ซึ่งถูกชาวกัมพูชายึดครองแผ่นดินไทยมายาวนานกว่า 40 ปี และมีแรงกดดันให้กองทัพภาค1 ยึดคืนแผ่นดินไทย พล.ท.อมฤต ขยับตัวช้า กว่าจะมีการชี้แจง กระแสการโจมตีก็ถล่มใส่อย่างหนักประกอบกับการที่เป็นสายตรงของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และ อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย จึงทำให้ถูกโจมตีไปด้วย
กว่าที่จะมีการให้สัมภาษณ์ชี้แจงเช่นตั้งโฆษกกองทัพภาคที่1 ชี้แจงแถลงข่าว หรือการที่ พล.ท.อมฤตม ลงพื้นที่เปิดตัวให้สัมภาษณ์กับสื่อก็เป็นห่วงท้ายท้ายที่จะมีการขยับพ้นเก้าอี้ แม่ทัพภาค1 ขึ้นไปเป็น พลเอก ในตำแหน่งผู้ช่วย ผบ. ทบ. แล้วจึงทำให้มิชชั่นนี้ยังไม่จบโดยไปติดที่เดดไลน์ 10 ตุลาคม ซึ่งพล.ท.อมฤต ขยับเข้าบก.ทบ. ไปแล้ว จึงปิดฉากตำแหน่งแม่ทัพภาค1 ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบนัก
ทั้งหมดนี้ พล.ท.วรยส ถือเป็นบทเรียน โดยจะเห็นว่าทันทีที่รับตำแหน่งแม่ทัพภาค1 หลังจบพิธีตั้งแต่ 30 กันยายน 2568 พล.ท.วรยส ก็เริ่มการสื่อสารผ่านสื่อไปถึงประชาชนทันที โดยการประกาศว่า “ขอให้เชื่อมั่นในกองทัพภาคที่ 1 ที่พร้อมจะปกป้องรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ โดยจะทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ และด้วยชีวิต โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ”
และในช่วงของการรับมอบหน้าที่ พล.ท.วรยส ได้ประกาศว่า กองทัพภาคที่ 1 จะเป็นกองทัพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง และจะใช้ขีดความสามารถพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน สร้างกองทัพที่พร้อมรบ พร้อมถวายงานอย่างสูงสุด และ ขอให้ ประชาชนมั่นใจในความพร้อมรบ จะรักษาอธิปไตยด้วยชีวิต

กล่าวได้ว่าเป็นการแสดงออกในบทบาทของทหารสายบู๊ ที่ ทำให้กระแสโซเชียลฯ ขานรับและตั้งความหวังว่าจะมาแก้ปัญหาเขมรรุกล้ำ แผ่นดินไทยด้านจังหวัดสระแก้วได้
และทันทีที่เสร็จภารกิจพิธีที่กองทัพบก และการประชุมเสร็จ พล.ท.วรยส ก็เดินทางลงพื้นที่ทันที ในห้วงเย็นและออกพบปะตรวจการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ชายแดนสระแก้วในห้วงค่ำทันที
ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะเข้าพื้นที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว พร้อมกำชับกองกำลังบูรพา ให้ พร้อมปฏิบัติการทุกรูปแบบ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผืนแผ่นดินไทยอย่างสุดความสามารถ
โดยยึดถือแนวทางการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเป็นไปตามกรอบเวลาในส่วนของด่านชายแดนทั้งหมดยังคงปิดและเพิ่มความเข้มงวดขึ้น ที่สำคัญให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมในทุกมิติเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ควบคู่กับการดูแลความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดนด้วย
ที่สำคัญ ต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และยืนยันเจตนารมณ์ในการปฏิบัติงานของเรา ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และรักษาผืนแผ่นดินไทยอย่างสุดความสามารถ
ในฐานะที่ พล.ท.วรยส เติบโตมาในหน่วยรบตั้งแต่กองพลบูรพาพยัคฆ์ทั้ง ร.2 รอ. และ ร.12 รอ. ใน พล.ร.2 รอ. ก่อนข้ามกองพลมาเติบโตในสายวงศ์เทวัญ เป็น ผบ.พล.1 รอ. ในยุค ทหารคอแดง เติบโตในพื้นที่มาก่อนจึงยิ่งกลายเป็นความหวังในการที่จะเคลียร์ปัญหานี้
แต่อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เมื่อ 2 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาครั้งแรกของ อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และประธาน สมช. ที่เชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ รวมถึงพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ. ทบ.คนเดิม มาร่วมประชุมด้วย ไม่ได้อนุมัติให้มีการใช้กำลังในการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว ตามกำหนดเดทไลน์ 10 ตุลาคม นี้
แต่ให้บับคับใช้กม. ที่มีอยู่ และหลัก มนุษยธรรม เพราะเป็นประชาชนชาวกัมพูชาที่มีทั้งผู้หญิง เด็กและคนชรา อีกทั้ง รมว. ต่างประเทศ ได้ไป ประกาศที่ UN แล้วว่า เราไม่ใช่ผู้รุกราน ต้องรักษาภาพนี้ไว้ และยังไม่มีการกำหนดเดทไลน์ 10 ต.ค.
จึงทำให้กองกำลังบูรพาซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของแม่ทัพภาค 1 ต้องปรับเปลี่ยนท่าที สำหรับ พล.ท.วรยส แล้ว ไม่เพียงแต่เป็นที่จับตามองของภาคประชาชนเท่านั้น แต่ด้วย คอนเนกชัน ก็เป็นที่จับตามองของทหารในกองทัพด้วย
เพราะการขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค1 ก็ถือว่าเข้ามาในเส้นทางสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ. แล้ว โดยมีอายุราชการถึงตุลาคม 2571 เท่ากับ พล.อ.อมฤต รุ่นพี่เตรียมทหาร 27 ที่ขยับขึ้นไปเป็น พล.อ.ผู้ช่วยผบ. ทบ.อาวุโสกว่านำไปแล้ว
แต่ยังมีเวลาเนื่องจาก “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. เกษียณตุลาคม 2570 หาก พล.ท.วรยส นั่งเป็นแม่ทัพภาค1 ครบ1 ปี แล้วในการแต่งตั้งโยกย้ายปลายปี 2569 ก็ขยับขึ้นเป็น พล.อ. 5 เสือกองทัพบก พร้อมที่จะชิงเก้าอี้ ผบ. ทบ. กับ พล.อ.อมฤต ได้เช่นกัน

แม้จะมีกระแสข่าวว่า พล.อ.พนา ตั้งใจที่จะวางตัว “บิ๊กเต้” พล.อ.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 26 ที่พึ่งขยับจากผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. เมื่อ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาให้เตรียมขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ต่อจากตนเอง ก็ตาม
โดยเป็นที่รู้กันดีว่า พล.ท.วรยส มีคอนเนกชัน ที่ไม่ธรรมดาเพราะเป็นเพื่อนสนิทของแกนนำเตรียมทหารรุ่น 28 ที่เป็นทหารคอแดงอยู่นอกกองทัพบก และมีบารมีอย่างมากในกองทัพ จนเชื่อกันว่าเป็น ซัพพอร์ตเตอร์ คนสำคัญของ พล.ท.วรยส
นอกจากเป็นแม่ทัพภาค1 แล้ว พล.ท.วรยส ยังควบตำแหน่ง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) ที่ทำหน้าที่ประสานสั่งการกำลังทหารคอแดงในส่วนของกองทัพบก เพื่อสนับสนุนภารกิจในการถวายงาน
ดังนั้น พล.ท.วรยส จึงกลายเป็นแม่ทัพภาค 1 ที่มีมีพลังหนุนที่ไม่ธรรมดา และน่าจับตามองอย่างยิ่ง
#แม่ทัพวรยส #ทภ1 #คอแดง #ชายแดนสระแก้ว #ปกป้องอธิปไตย #ความมั่นคงชาติ #เส้นทางสู่ผบทบ #กองทัพภาค1 #ข่าวการเมือง #นโยบายชายแดน