เมื่อวันที่ 3 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดนาป่าพง ออกแถลงการณ์วัดนาป่าพงและพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เมื่อกลางดึกวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า ตามที่มีบุคคลหนึ่งซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้เข้าร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ว่ากระทำความผิดต่อกฎหมาย
โดยเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของวัดนาป่าพงไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน ด้วยการนำเงินโอนไปหลบซ่อนที่ประเทศเยอรมนี และต่อมามีสื่อมวลชนหลายสำนักร่วมกับนักวิชาการด้านพุทธศาสนาและนักอาชญาวิทยาหลายคนเสนอข่าวสารดังกล่าวต่อสาธารณะเป็นวงกว้างนั้น
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ มอบหมายให้ นายนันทน อินทนนท์ ทนายความของวัดนาป่าพงแถลงข้อเท็จจริงผ่านสื่อสาธารณะจำนวน 2 ครั้ง โดยนำเสนอข้อเท็จจริงพร้อมทั้งหลักฐานประกอบเป็นจำนวนมาก การแถลงข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฎให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าการโอนเงินดังกล่าวเป็นไปเพื่อการจัดตั้งมูลนิธิพุทธวจนเยอรมนี ที่ประเทศเยอรมนี ไม่ใช่การโอนเงินไปเพื่อให้แก่สีกาโดยเสน่หาหรือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม บุคคลดังกล่าวพร้อมคณะยังคงดำเนินการร้องเรียนพระอาจารย์คึกฤทธิ์ต่อไป โดยมีการบิดเบือน ตัดทอน และนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จแก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าการกล่าวหาดังกล่าวมิได้มีเจตนาบริสุทธิ์ แต่เป็นไปโดยมีเจตนาใส่ความให้พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้รับความเสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงและเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์เสื่อมศรัทธาในตัวพระอาจารย์อย่างไม่ชอบธรรม
สีกายุ หอบหลักฐานมอบ “บิ๊กเต่า” ยัน พระคึกฤทธิ์ นำเงินวัดไปลงทุนกองทุนวัดนาป่าพงและพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ตระหนักดีว่า แม้ว่าการกระทำใดจะกระทำไปด้วยใจบริสุทธิ์ และการชี้แจงที่ผ่านมาจะมีความละเอียดชัดเจนเพียงใด หากแต่มีผู้ไม่ประสงค์ดีมุ่งหวังบั่นทอนทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาในวัดนาป่าพงและพระอาจารย์คึกฤทธิ์เสียแล้ว ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งพฤติกรรมของบุคคลเหล่านี้ได้
กระนั้นก็ตาม หากแต่ปล่อยให้สถานการณ์ผ่านไป โดยไม่ชี้แจงแสดงเหตุผล ก็อาจเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยสาธารณชนที่ไม่อาจเข้าถึงข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและรอบด้าน ด้วยเหตุผลดังกล่าว วัดนาป่าพงและพระอาจารย์คึกฤทธิ์ จึงขอให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
1.ข้อกล่าวหาว่า พระอาจารย์คึกฤทธิ์โอนเงินจำนวน 12,200,000 บาท ไปให้แก่สีกาที่ประเทศเยอรมนีเป็นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตัวนั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริง เนื่องจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์ได้มีคำสั่งให้โอนเงินจำนวน 12,200,000 บาท ไปยังประเทศเยอรมนีนั้นเป็นไปเพื่อใช้เป็นเงินทุนประเดิมในการก่อตั้งมูลนิธิพุทธวจนเยอรมนี และการก่อตั้งมูลนิธิฯ นั้น สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนสาเหตุที่มีการโอนเงินครั้งแรกในประเทศไทยนั้น ได้โอนเข้าบัญชีส่วนตัวของสีกาเยอรมัน ก็เพราะว่าสีกาคนดังกล่าวเป็นผู้มีถิ่นฐานในประเทศเยอรมนี สามารถพูดภาษาเยอรมันได้ อีกทั้งยังมีความเข้าใจในกฎระเบียบของทางราชการของประเทศเยอรมนีเป็นอย่างดี
พระอาจารย์คึกฤทธิ์จึงมอบหมายให้สีกาเยอรมันเป็นตัวแทนในการดำเนินการดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งการจัดการโอนเงินทั้งจากประเทศไทยไปยังประเทศเยอรมนี และการโอนเงินต่างๆ ในประเทศเยอรมนีเพื่อการก่อตั้งมูลนิธิฯ ทั้งหมดด้วย
2.ข้อกล่าวหาว่า พระอาจารย์คึกฤทธิ์ มีคำสั่งให้สีกาเยอรมันโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวในประเทศเยอรมนีนั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะในความจริงแล้ว พระอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่เคยมีคำสั่งให้สีกาเยอรมันโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของพระอาจารย์เลย ในทางตรงกันข้าม พระอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะเปิดบัญชีธนาคารส่วนตัวในประเทศเยอรมนีมาก่อน แต่หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของสีกาคนดังกล่าวที่ต้องการให้เปิดบัญชีธนาคารเป็นของส่วนตัว
เพื่อประโยชน์ในการขอใบอนุญาตพำนักและวีซ่าเข้าประเทศเยอรมนี ซึ่งต่อมาสีกาคนดังกล่าวโอนเงินส่วนหนึ่งที่ได้รับจากการโอนเงินออกจากประเทศไทยเข้ามาบัญชีส่วนตัวของพระอาจารย์ ซึ่งอำนาจในการเบิกถอนเงินทั้งหมดเป็นของสีกาคนดังกล่าวทั้งสิ้น
3.ข้ออ้างว่า สีกาเยอรมันโอนเงินทั้งหมดที่ได้รับจำนวน 12,200,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของมูลนิธิพุทธวจนเยอรมนีแล้ว โดยไม่มีการยักยอกเงินดังกล่าว ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว เงินจำนวนดังกล่าวคำนวณได้เป็นเงินยูโรประมาณ 310,000 ยูโร
แต่ปรากฏว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของมูลนิธิพุทธวจนเยอรมณีเพียง 210,000 ยูโร เท่านั้น ขาดหายไปจำนวนประมาณ 100,0000 ยูโร ส่วนข้ออ้างว่าเงินส่วนที่เหลือได้นำเข้าบัญชีของสมาคมพุทธวจนเยอรมนีนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอยๆ เท่านั้น
เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการโอนเงินจากธนาคารกรุงไทยในประเทศไทยไปยังบัญชีสมาคมพุทธวจนเยอรมนีเพียงจำนวน 27 ครั้ง รวมเป็นเงิน 266,000 ยูโรเท่านั้น และปรากฎข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่ามีการโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีส่วนตัวของสีกาเยอรมันที่ธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนีด้วย
ดังนั้น มูลนิธิฯ จึงไม่ได้รับเงินที่โอนเข้าบัญชีธนาคาร ของสีกาเยอรมันตามวัตถุประสงค์แห่งการโอนเงินทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินคดีทางอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์และคดีแพ่ง เพื่อเรียกร้องเงินดังกล่าวต่อสีกาเยอรมันในศาลแห่งประเทศเยอรมนีแล้ว
4.ข้ออ้างว่า สีกาเยอรมันไม่ได้ยักยอกเงินมูลนิธิฯ จำนวน 10,000 ยูโรนั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง เดิมมูลนิธิมีเงินในบัญชีจำนวน 210,000 ยูโร แต่ต่อมาจากการตรวจสอบบัญชีธนาคารของมูลนิธิฯ พบว่าสีกาเยอรมันได้ร้องขอให้ธนาคารให้รหัสสำหรับการเบิกถอนเงินในบัญชีของธนาคารได้ในฐานะที่สีกาเยอรมันคนดังกล่าวดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานมูลนิลนิธิฯ ในขณะนั้น
และต่อมาสีกาคนดังกล่าวได้เบิกถอนเงินจำนวน 5,000 ยูโร ออกจากบัญชีของธนาคารจำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 10,000 ยูโร โดยไม่แจ้งเหตุผลของการเบิกจ่ายเงินดังกล่าว ดังนั้น จึงมีการดำเนินคดีกับสีกาเยอรมันคนดังกล่าวในข้อหายักยอกเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งต่อศาลในประเทศเยอรมนีแล้ว ซึ่งสีกาเยอรมันได้ยอมรับในคดีแพ่งว่าได้โอนเงินดังกล่าวออกไปจริง
แต่เป็นการโอนเป็นไปยังสมาคมพุทธวจนเยอรมนี และได้ปิดบัญชีธนาคารของสมาคมฯ ไปแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายอมรับว่ามีการโอนเงินไปยังบัญชีของสมาคมฯ อันสีกาคนดังกล่าวมีอำนาจเบิกจ่ายเงินแต่เพียงผู้เดียวและได้ปิดบัญชีธนาคารเพื่อนำเงินดังกล่าวออกไปแล้วจริง
5.ข้อกล่าวหาว่า พระอาจารย์คึกฤทธิ์นำเงินประเดิมของมูลนิธิฯ จำนวน 200,0000 ยูโรไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนต่าง ๆ โดยไม่มีอำนาจและเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์ได้กระทำการผ่านล่ามคนหนึ่งชื่อนายโรเบิร์ต ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะในความเป็นจริงแล้วพระอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้มูลนิธิฯ สามารถนำเงินประเดิมมาใช้เพื่อซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนต่างๆ ตั้งแต่ต้น
แต่ในขณะที่ผเจตนการก่อตั้งมูลนิธินั้น สีกาเยอรมันพร้อมด้วยนายโรเบิร์ต แนะนำให้มูลนิธิสามารถนำเงินประเดิมมาหาดอกผลโดยการซื้อหน่วยลงทุนที่ไม่มีลักษณะเพื่อการเก็งกำไรได้ โดยมีคลิปวีดีโอหลักฐานการสนทนาระหว่างสีกาเยอรมันพร้อมด้วยนายโรเบิร์ตกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรัฐบาวาเรียเป็นเครื่องยืนยัน
และต่อมานายโรเบิร์ตได้ดำเนินการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนต่าง ๆ จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งในขณะนั้นนายโรเบิร์ตมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการชุดหนึ่งของมูลนิธิฯ ไม่ใช่เป็นเพียงล่ามภาษาเยอรมันเท่านั้น
ดังนั้นการซื้อหน่วยลงทุนจึงไม่ได้เป็นการดำเนินการของพระอาจารย์คึกฤทธิ์หรือได้รับความยินยอมจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์แต่ประการใด ซึ่งต่อมาพระอาจารย์ได้มีการดำเนินคดีกับทั้งนายโรเบิร์ตร่วมกับสีกาเยอรมันคนดังกล่าวเป็นคดียักยอกทรัพย์ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาต่อศาลเยอรมนีแล้วด้วย
6.ข้อกล่าวหาว่า พระอาจารย์คึกฤทธิ์มีอำนาจเบิกถอนเงินในบัญชีธนาคารของมูลนิธิฯ แต่เพียงผู้เดียวจึงสามารถนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้นั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเปิดบัญชีธนาคารของมูลนิธิฯเป็นการกระทำของสีกาเยอรมันทั้งสิ้น และสีกาเยอรมันเป็นบุคคลที่มีอำนาจในการเบิกถอนเงินได้เองเพราะมีรหัสบัญชีธนาคารที่ใช้สำหรับการเบิกถอนเงินในธนาคารได้
ส่วนพระอาจารย์คึกฤทธิ์ แม้ว่ามีอำนาจในการเบิกถอนเงินได้ตามเงื่อนไขของธนาคาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเข้าใช้ระบบเบิกถอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์จำเป็นต้องมีความรู้ภาษาเยอรมัน ดังนั้น เมื่อพระอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่สามารถเข้าใจภาษาเยอรมันได้ จึงไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ ประการสำคัญ มูลนิธิเป็นองค์การกุศลที่ไม่แสวงหากำไรจึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของมูลนิธิโดยเคร่งครัดและได้รับการตรวจสอบทางบัญชีและภาษีอากรอย่างเข้มงวดด้วย
7.ข้ออ้างว่า สีกาเยอรมันได้มีการฟ้องคดีพระอาจารย์คึกฤทธิ์ในข้อหายักยอกทรัพย์ แต่อัยการเยอรมนีมีคำสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากไม่อยู่ในเขตอำนาจ นั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีหลักฐานจากพนักงานอัยการว่ามีคำสั่งไม่ฟ้องพระอาจารย์คึกฤทธิ์ในข้อหายักยอกทรัพย์เนื่องจากคดีไม่มีมูลความผิด ไม่ใช่มีคำสั่งว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจ
อย่างไรก็ตาม กรณีมีความเป็นไปได้ว่านอกจากคดีดังกล่าวแล้ว สีกาเยอรมันยังไปร้องทุกข์ต่ออัยการในข้อหายักยอกทรัพย์ในประเทศเนเธอร์แลนต์ต่อพระอาจารย์ด้วย ซึ่งอัยการเยอรมนีน่าจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง
ด้วยเหตุดังกล่าว แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ข้อกล่าวหาว่ามีการยักยอกยอกทรัพย์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ไม่มีมูลความจริงทั้งสิ้น
จากข้อเท็จจริงข้างต้น วัดนาป่าพงและพระอาจารย์คึกฤทธิ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สาธารณชนจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์และปณิธานอย่างแรงกล้าในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่แท้จริงให้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงขออนุโมทนามายังพุทธศาสนิกชนและสื่อมวลชนผู้มีจิตอันประเสริฐได้รับรู้และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นธรรม แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป