กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงไม่เคยหลับใหล ผลิตขยะมหาศาลในทุกวินาที ก่อเกิดแนวคิดการต่อสู้กับ "ภูเขาขยะ" ที่เคยสูงถึง 11,000 ตันต่อวัน แม้ปัจจุบันจะลดลงเหลือราว 9,000 ตันต่อวัน แต่ภารกิจกำจัดของเสียเหล่านี้ยังคงเป็นสมรภูมิครั้งใหญ่ที่ใช้งบประมาณมหาศาล และกำลังถูกพลิกโฉมด้วยแนวคิดที่เริ่มต้นจากถังขยะในบ้านของทุกคน

อาณาจักรขยะ 1,012 ไร่: ใหญ่เกือบเท่าประเทศ
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ฉายภาพให้เห็นว่า การจัดการขยะของเมืองหลวงแห่งนี้ต้องอาศัย "อาณาจักร" ในการรองรับที่มีพื้นที่รวมกันถึง 1,012 ไร่ ซึ่งใหญ่เกือบเท่ากับประเทศโมนาโก (1,262.5 ไร่) โดยแบ่งเป็น 3 ศูนย์กำจัดหลัก คือ ศูนย์กำจัดขยะอ่อนนุช 582 ไร่ ศูนย์กำจัดขยะหนองแขม 378 ไร่ ศูนย์กำจัดขยะสายไหม 52 ไร่
อย่างไรก็ตาม อาณาจักรแห่งนี้ก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้ กทม. จำเป็นต้องส่งออกขยะส่วนเกินไปฝังกลบยังจังหวัดข้างเคียง ทั้งกาญจนบุรี นครปฐม และฉะเชิงเทรา เฉลี่ยจังหวัดละ 1,000 ตันต่อวัน กลายเป็นภาระที่คนกรุงเทพฯ ส่งต่อให้เพื่อนบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คลังแสงกำจัดขยะปลายทาง: จากเตาเผาพันองศา สู่โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด
เพื่อรับมือกับกองทัพขยะ กทม. ได้สร้าง "คลังแสง" ในการจัดการที่ปลายทางมาตลอดหลายปี และหนึ่งในโครงการเรือธงล่าสุดคือ โรงกำจัดขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ศูนย์อ่อนนุช ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2569 โรงงานแห่งนี้คือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่
โดยขยะ 1,000 ตันต่อวัน จะถูกนำมาพักในอาคารปิด 3-5 วันเพื่อลดความชื้นลง 35% ก่อนจะถูกป้อนเข้าเตาเผาแบบตะกรับ (Stoker Type) ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 850–1,100 องศาเซลเซียส ความร้อนมหาศาลจะถูกนำไปต้มน้ำ สร้างไอน้ำแรงดันสูงเพื่อปั่นกังหัน (Turbine) ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 30 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ในคลังแสงยังมีโรงงานรูปแบบอื่นๆ ทั้งโรงงานแปรรูปขยะเป็นพลังงาน (MBT) ขนาด 800 ตัน/วัน, โรงหมักทำปุ๋ย 2 แห่ง (600 และ 1,000 ตัน/วัน) และโรงกำจัดมูลฝอยติดเชื้ออีก 3 แห่ง (รวม 55 ตัน/วัน)

'เค้กขยะ' ก้อนมหึมา กับงบประมาณ 7,000 ล้านที่แพงกว่าการศึกษา
นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. และผู้บริหารด้านความยั่งยืน กทม. ได้เผยตัวเลขในการจัดการขยะว่า ในแต่ละปี กทม. ต้องทุ่มงบประมาณถึง 7,000 ล้านบาท เพื่อจัดการขยะ ขณะที่งบประมาณสำหรับโรงเรียนในสังกัด กทม. อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
"ขยะ 1 ตัน มีค่าจัดการสูงถึง 2,300 บาท นั่นหมายความว่าในวันที่ขยะแตะ 10,000 ตัน เรากำลังใช้เงินกว่า 23 ล้านบาทในวันเดียว" นายพรพรหมกล่าวต่อว่า ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ตัวเงิน แต่ยังอยู่ที่มิติสิ่งแวดล้อมและสังคม การจัดการที่ "ปลายทาง" ไม่ว่าจะเป็นการฝังกลบหรือเตาเผา ยังจำเป็น แต่ไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน และไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในพื้นที่กำแพงแสนหรือพนมสารคามที่ต้องรับมลภาวะจากขยะของคนกรุงฯ
พลิกเกมสู่ต้นน้ำ: 'บ้านนี้ไม่เทรวม' อาวุธใหม่เปลี่ยน 'ขยะ' เป็น 'ส่วนลด'
เมื่อการแก้ปัญหาที่ปลายทางมีราคาที่ต้องจ่ายสูงเกินไป ผู้บริหาร กทม. ชุดปัจจุบันจึงตัดสินใจ "พลิกเกม" จากการจัดการ "ปลายน้ำ" มาโฟกัสที่ "ต้นน้ำ" เป้าหมายคือทำอย่างไรให้ "เค้กขยะ" ที่ต้องกำจัดในแต่ละวันมีขนาดเล็กลง
ในช่วงแรก (ปี 2565-2566) กทม. ได้ส่งเสริมให้สถานประกอบการ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน โรงเรียน และวัด มีการลดขยะผ่านโครงการ Zero Waste และเริ่มใช้กลไก ค่าธรรมเนียม เป็นตัวกระตุ้นสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ สามารถลดปริมาณขยะที่ส่งมอบให้ กทม. ได้อย่างชัดเจน เช่น บางห้างฯ ลดจาก 10 ตัน เหลือเพียง 6-7 ตันต่อวัน
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2568 กทม. ได้ขยายการดำเนินการสู่ภาคครัวเรือนอย่างจริงจัง ภายใต้โครงการ "บ้านนี้ไม่เทรวม แยกขยะลดค่าธรรมเนียม" โดยใช้กลไกค่าธรรมเนียมเป็น "อาวุธ" มีการจัดทำข้อบัญญัติอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม แทนที่การ "ขอความร่วมมือ" ซึ่งที่ผ่านมามีเพียงคนกลุ่มน้อยที่ให้ความร่วมมือ
"ตอนนี้มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการไม่เทรวมแล้วกว่า 700,000 ครัวเรือน เกินเป้าหมายแรกที่ตั้งไว้เพียง 300,000 ครัวเรือนไปกว่าเท่าตัว สะท้อนให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯ พร้อมจะเปลี่ยนแปลงหากมีระบบที่ชัดเจนรองรับ" นายพรพรหม กล่าว
ส่วนลดจูงใจ: ครัวเรือนที่เข้าร่วม จะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมจาก 60 บาท เหลือเพียง 20 บาทต่อเดือน ส่วนคอนโดมิเนียมจะคิดค่าธรรมเนียมตามจำนวนห้องพักคูณ 20 บาท ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางลงได้อย่างมหาศาล ขณะที่ผู้ไม่เข้าร่วมจะถูกคิดค่าขยะตามปริมาณจริงในอัตราที่สูงกว่ามาก

หลักการตรงไปตรงมา: ทิ้งเยอะ จ่ายเยอะ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มองว่า หัวใจสำคัญของกลไกค่าธรรมเนียม คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการทิ้งขยะของคนกรุงฯ ด้วยหลักการตรงไปตรงมา "ยิ่งทิ้งเยอะ ยิ่งจ่ายแพง" เป้าหมายคือการสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วน หันมาลดและคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางอย่างจริงจัง
สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ได้แบ่งตามปริมาณขยะอย่างชัดเจน โดยหลักการ ครัวเรือนทั่วไปที่เข้าร่วมโครงการแยกขยะและส่งหลักฐานตามขั้นตอนก็จะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือน หากไม่แยกก็จ่าย 60 บาท อัตรานี้คือฐานสู่แรงจูงใจ สามารถรับส่วนลดค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายทั้งปีจะลดลงจาก 720 บาท เหลือเพียง 240 บาท ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างขยะเกิน 1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 8,000 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้น หากช่วยกันคัดแยกก็จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ภารกิจทำลายมายาคติ 'แยกไปก็เทรวม'
นายพรพรหม กล่าวว่า ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการสร้างความเชื่อมั่น กทม. จึงออกแบบระบบใหม่ทั้งหมดเพื่อทำลายมายาคติที่ว่า "แยกขยะไป สุดท้าย กทม. ก็เอาไปเทรวมกันอยู่ดี"
1. พิกัด GPS นำทางรถขยะ: ทั้ง 7 แสนครัวเรือนที่ลงทะเบียนผ่านแอปฯ BKK WASTE PAY มีพิกัด GPS ชัดเจน ทำให้สำนักงานเขตสามารถจัดเส้นทางรถเก็บขยะแยกประเภทได้อย่างแม่นยำ
2. รถขยะสีเขียวสำหรับเศษอาหาร: กทม. ออกนโยบายเด็ดขาดว่า "ห้ามนำเศษอาหารที่แยกแล้วไปรวมกับขยะทั่วไป" รถขยะทุกคันจะมี "ถังสีเขียว" สำหรับทิ้งเศษอาหารโดยเฉพาะ และทุกเขตจะมี "รถเก็บเศษอาหาร" วิ่งตามพิกัดของผู้ลงทะเบียน เพื่อนำไปเข้าโรงหมักปุ๋ยโดยตรง
3. สร้างขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่เก็บขยะ: อยู่ระหว่างพิจารณาค่าตอบแทนพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการปฏิบัติตามระบบใหม่อย่างเคร่งครัด นายพรพรหม กล่าวว่า นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการจัดการขยะในเมืองหลวง จากสมรภูมิที่ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อจัดการที่ปลายทาง สู่การสร้างวัฒนธรรมการคัดแยกที่ต้นทาง หากทำได้สำเร็จ "เค้กขยะ" จะเล็กลง งบประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปีก็จะลดลงตาม เงินส่วนต่างจะสามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวกรุงเทพฯ ในด้านการศึกษาและสาธารณสุขได้ต่อไป เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ที่เริ่มต้นจากความร่วมมือของทุกคน