ปี 2568 กำลังถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยว่าเป็น “ปีทอง” ของทองคำ อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเพราะมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้โลหะสีเหลืองกลับมาครองบัลลังก์ในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างไร้ข้อกังขา
จากราคาต้นปีราว 43,800 บาทต่อบาททองคำ ได้ทะยานขึ้นมาแตะ 59,550 บาทในเวลาเพียงเก้าเดือน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 35% แรงกว่าหุ้นไทยแทบทุกตัว และเหนือกว่าผลตอบแทนตราสารหนี้อย่างสิ้นเชิง
หากจะถามว่าทำไมทองคำถึงพุ่งแรงเช่นนี้ คำตอบง่ายที่สุดคือ “โลกยังไม่สงบ” ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ไม่เคยจางหาย หรือแม้แต่ศึกการค้าและการเมืองระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยเมฆหมอก นักลงทุนจำนวนมากเลือกโยกเงินเข้าทองคำ เพราะมันคือสินทรัพย์ที่ไม่ผุพังไปตามกระแสการเมืองระยะสั้น

ในอีกฟากหนึ่ง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ควรเป็นเสาหลักกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ทั้งความเสี่ยงการ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะ และการเมืองในสภาคองเกรสซึ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์สหรัฐสั่นคลอน และผลลัพธ์ก็ชัดเจนเมื่อนักลงทุนวิ่งเข้าซบอกทองคำ
สิ่งที่เติมเชื้อไฟให้ราคาทองคำพุ่งแรงยิ่งขึ้นคือแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หากย้อนกลับไปเพียงสองปีก่อน ดอกเบี้ยขาขึ้นของ Fed คือฝันร้ายของทองคำ แต่ปีนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร ตลาดเริ่มเชื่อว่า Fed จะต้องผ่อนคันเร่งเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่กำลังชะลอ
การลดดอกเบี้ยย่อมหมายถึงต้นทุนโอกาสในการถือทองคำที่ไม่ก่อดอกผลลดลง และที่สำคัญคือดอลลาร์อ่อนค่าลงทันที ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกถูกผลักดันขึ้นโดยปริยาย
นอกจากนี้ยังมีแรง/ซัพพอร์ตจากผู้เล่นเงียบแต่ทรงพลังอย่างธนาคารกลางทั่วโลกที่ทยอยสะสมทองคำเข้าคลังสำรอง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินดอลลาร์
เมื่อ “รายใหญ่” ลงสนามต่อเนื่อง ย่อมกลายเป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะเดียวกันในฝั่งไทยเอง สิ่งที่ทำให้ราคาทองคำในประเทศทะยานยิ่งกว่าตลาดโลกก็คือค่าเงินบาทที่อ่อนค่า การนำเข้าทองคำต้องจ่ายเป็นดอลลาร์ แต่เมื่อเงินบาทอ่อน ทุกบาททองคำที่ซื้อขายจึงถูกตีราคาแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าขาขึ้นของทองคำยังไม่จบ หาก Fed เดินหน้าลดดอกเบี้ยจริง ความตึงเครียดทางการเมืองยังไม่จางหาย และธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิ ทองคำก็ยังมีโอกาสวิ่งขึ้นต่อ
อย่างไรก็ตามต้องพึงตระหนักไว้เสมอว่า ทุกการขึ้นย่อมมีจังหวะพัก ข่าวดีทางเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาด หรือข้อตกลงทางการเมืองที่ช่วยลดความเสี่ยงโลก สามารถทำให้นักลงทุนเทขายทำกำไรได้ทันที แรงขายลักษณะนี้อาจกดให้ราคาทองคำเหวี่ยงลงแรงในระยะสั้น
ราคาทองคำที่พุ่งทะยานในปีนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของผลกำไร แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนความเปราะบางของโลก เศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง การเมืองที่ไร้เสถียรภาพ และความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน ในอีกมุมหนึ่งมันยังตอกย้ำว่า สำหรับนักลงทุนที่มองไกล ทองคำยังเป็นเสาหลักในพอร์ต
ทว่า สำหรับผู้ที่เข้ามาตามกระแสจำเป็นต้องระวังให้มาก เพราะ “ขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่ ขึ้นอีก” อาจจริงในระยะยาว แต่ในระยะสั้น แค่ข่าวบางข่าวอาจทำให้ราคาทองคำเหวี่ยงได้เหมือนพายุ
นี่คือเสน่ห์และความโหดของทองคำ สินทรัพย์ที่ขึ้นชื่อว่า “ปลอดภัย” แต่ก็ทำให้หัวใจนักลงทุนสั่นระรัวได้ทุกครั้งที่โลกสะท้าน
#ราคาทองคำ #ทองคำวันนี้ #เศรษฐกิจโลก #Fed #ค่าเงินบาท #ทองคำขาขึ้น #การลงทุน #ข่าวเศรษฐกิจ