สถาพร ศรีสัจจัง
วันก่อนมีโอกาสไปนั่งกินน้ำชากับหมูย่างตอนเช้าที่เมืองของท่านชวน หลีกภัย นักการเมืองคนดังในอดีต-คือ “เมืองตรัง”
คนเก่าๆเมืองนั้นเขาเรียก “ชาร้อน” (หรือชาใส่นมข้นหวานร้อน) ว่า “เซ่หล๊อง” ได้ลองใช้ชื่อนั้นสั่งคนเสิร์ฟดู ปรากฏว่าเธอไม่เข้าใจว่าที่สั่งคืออะไร ได้แต่ทำหน้าเหรอหรา
อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นในบางระดับว่า “ภาษาถิ่น” แท้ๆของภาคใต้กำลัง “วิบัติ” คือไม่นิยมใช้กันโดยทั่วไปแล้ว
โดยเฉพาะคน “เจน” นี้ ทั้งคำเฉพาะถิ่น และ “สำนวน” หรือวลีเฉพาะถิ่น แทบจะไม่มีใครพูดให้ได้ยินกันแล้ว
ที่ยังพอจะเหลือให้เห็น “อัตลักษณ์” ของภาษาถิ่นอยู่บ้าง ก็น่าจะแค่เรื่อง “เสียง” (ที่ก็มักจะเพี้ยนๆจากเดิมอีกนั่นแหละ) จึงคล้ายกับว่าเอาคำ/สำนวน ประโยคและวลีของภาษาไทยถิ่นภาคกลางมาใส่เสียงแบบ “ใต้” เท่านั้นเอง!
ทั้งสิ้นทั้งปวงเหล่านี้ น่าจะเกิดจาก “ความสัมฤทธิ์ผล” ของสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่ต้องการนำพาประเทศไทยไปสู่ความทันสมัย (Modernization) ตามต้นแบบ คือชาติตะวันตก-โดยเฉพาะ “มหามิตรอเมริกา” ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัก 60 กว่าปีก่อนนี่เอง(แผนพัฒนาฯระยะที่ 1 ประกาศใช้เมื่อพ.ศ.2504-ยุคเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์)
อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า กลายเป็น “ทาส” หรือ “เมืองขึ้น” ทางวัฒนธรรมเขาไปเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ทราบจะเรียกว่าอะไรดี!
ก็ดูเอาเถอะ เด็ก “เจน” นี้เขามีรสนิยมกันยังไง ดูแค่เรื่องปัจจัย 4 ก็พอ เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน เรื่องบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เรื่องเครื่องนุ่งห่มเครื่องแต่งกาย จนถึงเรื่องยา-การบำบัดรักษาโรค…
มีสักกี่เปอร์เซ็นต์กัน-ที่ยังเหลือร่องรอยของ “ราก” ทางวัฒนธรรม ที่บรรพบุรุษทวดเทียดปู่ย่าตายายยุค “พึ่งตัวเอง” แบบ “เป็นไท” แท้ ได้สร้างสรรค์ส่งทอดเป็นภูมิปัญญาไว้ให้?
กลับมาที่เรื่องของ “ภาษา” กันอีกที(หลังจากที่นอกเรื่องไปเสียไกล) ที่ต้องพูดถึงร้านน้ำชาตอนเช้าที่เมืองตรังของคุณชวนขึ้นมา ก็เพราะตอนไปนั่งกิน “เซ้หล๊อง” กับหมูย่างในร้านน้ำชานั่นเอง ที่เพื่อนเก่าชาวตรังบางคนในโต้ะพูดถึงคำบางคำที่ทำให้ต้องประหวัดคิดไปถึงเรื่องอะไรบางเรื่อง
เพื่อนคนนั้นพูดขึ้นตอนหนึ่ง สรุปความได้ประมาณว่า พวกมึงได้ดูคลิปการเมืองมันๆชื่อ “ความจริง” ที่ตอนนี้เขาส่งเขาแชร์กันให้ว่อนแล้วยัง?
พอเห็นเพื่อนทำหน้างงๆเขาก็เปิดลำโพงมือถือเสียเต็มเสียง ให้ได้ฟังคลิปดังกล่าวกันอย่างทั่วถึงไปทั้งโต้ะ(อาจเผื่อแผ่โต้ะข้างๆด้วย555)
คลิปนั่นไม่มีเนื้อหาอะไรใหม่ เป็นเรื่องของการทำขึ้น “ด่า สส.” แห่งประเทศไทยล้วนๆ
เริ่มต้นก็มีความประมาณว่า ถ้าเรามีสส. นักการเมือง หรือรัฐบาลแบบที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ต้องมีก็ได้ แค่มีข้าราชการประจำ มีทหาร และมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่เคารพสูงสุด เป็นมิ่งเป็นขวัญไว้ยึดเหนี่ยว …ก็น่าจะพอ!
เพราะมีสส. ก็ไม่เห็นมันจะทำอะไรได้ ทั้งเรื่องปัญหาภัยธรรมชาติ น้ำท่วมน้ำแล้ง เรื่องชายแดน เรื่องเกียรติภูมิของชาติ ก็เห็นมีแต่ข้าราชการ มีแต่ทหารที่ และประชาชนเท่านั้นที่ร่วมช่วยกันแก้
ปัญหา
งบประมาณของชาติก็หมดไปกับสส.พวกนี้เยอะ ทั้งทางตรงทางอ้อม เงินเดือนก็แพง เป็นแสนๆ เบี้ยเลี้ยงเบี้ยประชุมอีก แม้แต่ค่าอาหารเวลามีประชุมก็ตั้งหัวละพัน นั่งเครื่องบินก็นั่งชั้นแพงๆฟรี โดยอนุญาตให้มีผู้ติดตามในชั้นเดียวกันได้อีก๑คนด้วย!
แถมท้ายยังต้องจ่ายเงินเดือนประจำให้ค่าลูกน้องส่วนตัวอีกตั้งรายละ 2-3 คน อีกต่างหาก!
ที่สำคัญก็คือพอออกจากการเป็น ส.ส.แล้ว ยังมีกฎหมายรองรับให้ได้รับเงินบำนาญรายเดือนอีกด้วย ข้าราชการเขาต้องทำงานเต็มเวลาตั้งยี่สิบปีจึงจะได้ พวกนี้ฟังว่า เป็นสส.แค่เดือนเดียวก็ได้รับเงินบำนาญกินไปตลอดชีวิตแล้ว…
เงินทุกบาททุกสตางค์เหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเงินภาษีประชาชนทั้งสิ้น ปีหนึ่งต้องจ่ายรวมแล้วเป็นหมื่นๆล้านเข้าไปโน่น!
ในคลิปนั้นยังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเจ็บใจด้วยว่า พอมีปัญหาอะไร พวกนี้ก็มักอ้างแบบหน้าด้านๆว่า “ก็มาจากประชาชน” อย่างพร่ำเพรื่อน่ารำคาญทุกที!
ฟังแล้วก็ต้องถือว่าเจ้าของคลิปคนนี้ตั้งใจด่าใส่หูบรรดา “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ” (ที่ไม่ค่อยฟังชาวบ้านหรอก)แบบที่ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า “มันพะยะคะ”!
แต่ที่น่าติดใจเป็นพิเศษ ก็คือการใช้คำ “สรรพนาม” เรียกบรรดา “ท่านผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ” เหล่านั้น(อย่างน้อย 2 ครั้ง)ว่า…“ส.ส.ห้าร้อยจำพวก” เพราะจากคำนี้เองที่ทำให้เกิดความคิดประหวัดไปถึงคำบางคำซึ่งอาจถือได้ว่าเป็น “สำนวนไทย” สำคัญ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับ “สส.ห้าร้อยจำพวก” เหล่านั้นบ้างก็ได้
นั่นคือคำว่า “โจรห้าร้อย”!!!!
#การเมืองไทย #สภาผู้แทนราษฎร #สำนวนไทย #โจรห้าร้อย #วิพากษ์สังคม #งบประมาณรัฐ








