เมื่อวันที่ 1ต.ค.68 ที่อาคารรัฐสภา ที่ประชุมฝั่งวุฒิสภา นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลำไย พ.ศ. … เพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยและผู้ประกอบการกิจการลำไย
นายนเรศกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกในการดูแลปัญหาของเกษตรกร โดยเฉพาะในช่วงที่ลำไยประสบปัญหาการส่งออกระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่มีการจัดตั้งกองทุนใน พ.ร.บ.ฉบับนี้นั้น เนื่องจากที่ผ่านมา เมื่อมีการเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน มักไม่ผ่านความเห็นชอบจากฝ่ายบริหาร และอาจทำให้ร่างกฎหมายตกไปเช่นเดียวกับความพยายามที่ผ่านมาในปี พ.ศ. 2562–2563
“เราได้หารือหลายฝ่ายแล้วครับ หากยังใส่กองทุนไว้ ร่างกฎหมายอาจไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ จึงจำเป็นต้องถอนออก เพื่อให้ร่าง พ.ร.บ.ลำไยนี้มีโอกาสผ่านการพิจารณาและเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกร” นายนเรศกล่าว
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันว่า แม้จะไม่ใส่กองทุน แต่สามารถบรรจุแนวทางด้านการวิจัยและการพัฒนาลงในยุทธศาสตร์ภายหลังได้ พร้อมชี้แจงว่า การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีขึ้นเพื่อให้การดูแลและเยียวยาเกษตรกรมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ที่ต้องใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเข้ามาช่วยเหลือเรื่องงบประมาณ
นายนเรศกล่าวด้วยว่า พ.ร.บ.ลำไยได้รับการจับตามองอย่างมากจากเกษตรกรผู้ปลูกลำไยใน 33 จังหวัด ซึ่งต่างคาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยแก้ปัญหาปากท้องได้ โดยมีเกษตรกรหลายร้อยคนติดตามการพิจารณาในแต่ละวาระอย่างใกล้ชิด
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติจะให้การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ลำไย เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกรที่กำลังรอคอยความหวังนี้” นายนเรศ กล่าวทิ้งท้าย
ซึ่งในที่ประชุมวุฒิสภาลงมติรับร่างพระราชบัญญัติลำไย พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 150 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง โดยตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา จำนวน 21 คน กำหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน