รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” (Government Shutdown) อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นผลพวงโดยตรงจากความแตกแยกทางการเมืองที่ร้าวลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบายที่ผลักดันโดย “ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์” และการตอบโต้ที่แข็งกร้าวจาก “พรรคเดโมแครต” ภายใต้ระบบรัฐสภาที่มีเสียงสนับสนุนสูสี การยุติการดำเนินงานบางส่วนของรัฐบาลกลางในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางงบประมาณ แต่เป็นการปะทะกันของอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีเดิมพันสูง โดยเฉพาะในประเด็น “การดูแลสุขภาพของประชาชน”
ภาวะชัตดาวน์เกิดขึ้นเมื่อสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณประจำปี หรือมาตรการต่ออายุการใช้งบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution - CR) ได้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณ ความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมในช่วงหลายปีหลัง ทำให้ “การชัตดาวน์” กลายเป็นเครื่องมือต่อรองเชิงการเมืองที่ทรงอิทธิพล และแทบจะกลายเป็น “ความปกติใหม่” ของความไร้เสถียรภาพในระบบการเมืองอเมริกัน
สาเหตุสำคัญของทางตันอยู่ที่ พรรคเดโมแครตปฏิเสธการสนับสนุนร่างงบประมาณชั่วคราวที่เสนอโดยพรรครีพับลิกัน เว้นแต่จะมีการบรรจุนโยบายด้าน “การดูแลสุขภาพ” ที่พวกเขาเรียกร้องเข้าไปด้วย โดยข้อเรียกร้องหลักคือ การขยายเงินอุดหนุนพรีเมียมประกันสุขภาพภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act (ACA) ซึ่งกำลังจะหมดอายุ และการยกเลิกการปรับลดงบประมาณ Medicaid (โครงการประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้พิการ) ที่มาจากการผลักดันของทรัมป์ในกฎหมาย “One Big Beautiful Bill Act”
สิ่งที่ทำให้การชัตดาวน์ครั้งนี้ตึงเครียดยิ่งกว่าครั้งก่อน คือท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดี ที่มองวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่ “ความล้มเหลวที่ต้องแก้ไข” แต่เป็น “โอกาส” ในการเดินหน้านโยบายทางการเมืองของตน เขาถึงขั้นประกาศว่าจะใช้ช่วงเวลาชัตดาวน์เพื่อ “กำจัด” โครงการที่ไม่สอดคล้องกับแนวนโยบายของเขา และเป็นที่นิยมของพรรคเดโมแครต
ทั้งหมดนี้ นำไปสู่ภัยคุกคาม “เลิกจ้างถาวร” (Mass Layoffs) โดยล่าสุด สำนักงานการจัดการและงบประมาณ (OMB) ของทำเนียบขาวได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานรัฐบาลเตรียมพร้อมสำหรับการ “ลดกำลังคน” (Reduction in Force - RIF) ในโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ และไม่อยู่ในลำดับความสำคัญของประธานาธิบดี ซึ่งต่างจากชัตดาวน์ในอดีตที่พนักงานจะถูก “พักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างชั่วคราว” (Furlough) และได้รับค่าจ้างย้อนหลังเมื่อรัฐบาลกลับมาทำงาน การขู่ “เลิกจ้างถาวร” ครั้งนี้สะท้อนความพยายามของทรัมป์ในการลดขนาดอำนาจของรัฐบาลกลาง หรือ “Deep State” ที่เขามองว่าเป็นศัตรูทางการเมือง
การที่พรรคเดโมแครตหยิบประเด็นเรื่องเงินอุดหนุน ACA และงบ Medicaid มาต่อรองนั้น แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังสร้างแรงกดดันทางสังคม ด้วยการชี้ว่า รีพับลิกัน “กำลังเดิมพันกับสุขภาพของชาวอเมริกันหลายล้านคน” เพราะหากไม่ขยายเงินอุดหนุน ประชาชนที่ซื้อประกันผ่านตลาด ACA จะต้องรับภาระค่าเบี้ยประกันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ขณะที่ทรัมป์ถูกมองว่าใช้การชัตดาวน์เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” เพื่อบรรลุเป้าหมายใหญ่กว่าการบริหารงบประมาณประจำปี
การชัตดาวน์ส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องหยุดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น พนักงานกว่า 750,000 คนอาจถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หรือแม้แต่ “เลิกจ้างถาวร” ตามคำขู่ของทรัมป์ แม้แต่เจ้าหน้าที่จำเป็น เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และทหาร ก็ต้องทำงานต่อไปโดยยังไม่ได้รับค่าจ้างทันที
ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการชัตดาวน์มีมูลค่าราว 400 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ในรูปของค่าจ้างที่สูญเสียไป และหากวิกฤตยืดเยื้อ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกัน บริการสาธารณะหลายด้านต้องหยุดชะงัก เช่น การประมวลผลหนังสือเดินทางล่าช้า การปิดอุทยานแห่งชาติ การระงับโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการชะลอการออกใบอนุญาตใหม่ต่าง ๆ ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนทั่วประเทศ
การขู่ “เลิกจ้างถาวร” ยังสร้างความตื่นตระหนกและลดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการทำงานของข้าราชการทั่วประเทศอย่างหนัก ข้าราชการจำนวนมากมองว่านี่คือ “สัญญาณอันตราย” ของการเมืองที่เล่นกับชีวิตประชาชนและแรงงานภาครัฐ
ในท้ายที่สุด การชัตดาวน์ครั้งนี้สะท้อนภาพ “การเมืองแห่งจุดยืน” (Politics of Principle) ที่ทั้งสองฝ่ายเลือกยืนหยัดในอุดมการณ์ของตน พรรคเดโมแครตเชื่อว่าการปกป้องสิทธิด้านสุขภาพคือการต่อสู้เพื่อประชาชน ขณะที่ทรัมป์และพรรครีพับลิกันมองว่าการชัตดาวน์คือวิธี “บีบ” ให้รัฐบาลลดขนาดและตัดงบโครงการที่พวกเขาเห็นว่าเป็นภาระ
ต้นเหตุของวิกฤตการเมืองครั้งนี้คือ การนำอุดมการณ์อย่าง “การดูแลสุขภาพ” มาผูกกับกระบวนการอนุมัติงบประมาณ ทำให้การเจรจาด้านการคลังกลายเป็นสนามรบทางอุดมการณ์ และตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังคงเลือก “ยืนหยัดในหลักการ” มากกว่าการประนีประนอม วิกฤต “ชัตดาวน์” ของสหรัฐฯ ก็อาจยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นอีกในไม่ช้า
#ชัตดาวน์สหรัฐ #รัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์ #ทรัมป์ #DonaldTrump #การเมืองสหรัฐ #วิกฤตชัตดาวน์ #สหรัฐอเมริกา #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวเศรษฐกิจโลก #ShutdownUSA #ข่าวร้อนต่างประเทศ