“กุหลาบเพียงดอกเดียว แค่ 90 วินาที ทำให้รู้สึกผ่อนคลายให้ผลในเชิงบำบัด” บางช่วงบางตอนจากวงเสวนา “ชินริงโยคุ การอาบป่าเพื่อสุขภาพและความผ่อนคลายในวิถีทางแบบญี่ปุ่น”
เมื่อเร็วๆนี้ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ร่วมกับ CU D4S คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และ สำนักพิมพ์จุฬาฯ จัดงานเสวนา “Shinrin Yoku: การอาบป่าเพื่อสุขภาพและความผ่อนคลายในวิถีแบบญี่ปุ่น” ณ Coworking Space ชั้น 1 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ โดยได้รับเกียรติจาก ศ.โยชิฟูมิ มิยาซากิ (Prof.Yoshifumi Miyazaki) ผู้เขียนหนังสือ ชินริงโยคุ (Shinrin Yoku) จาก Chiba University ผู้บุกเบิกศาสตร์ Forest Bathing หรือการอาบป่า ลัดฟ้ามาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับ ผศ.ดร.กนกวลี สุธีธร ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาฯ และผู้แปลหนังสือ ชินริงโยคุ (Shinrin Yoku) เป็นภาษาไทย พร้อมด้วย คุณเจนนี่-พีชญา กองจำปา ไกด์อาบป่าจากเพจ Trees Say Something และ คุณทิพวัน ถือคำ (ป้าแอ๊ด) ผู้ก่อตั้ง บ้านกลางป่า Forest Bathing Base ที่มาแบ่งปันประสบการณ์จริงในการสร้างสุขภาพผ่านธรรมชาติ

ศ.โยชิฟูมิ มิยาซากิ ผู้เขียนหนังสือ ชินริงโยคุ
หลอมรวมกับธรรมชาติ: หัวใจของการอาบป่า
ศ.โยชิฟูมิ กล่าวว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาในธรรมชาตินานนับล้านปี ร่างกายและพันธุกรรมของเราถูกออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เมื่อเราได้กลับคืนสู่ป่า ร่างกายจึงตอบสนองด้วยความผ่อนคลายโดยอัตโนมัติ แก่นแท้ของการอาบป่าไม่ได้อยู่ที่ “การเดินเข้าป่า” แต่คือ การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 – มอง ฟัง สูดกลิ่น สัมผัส และรู้สึก – เพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัวอย่างแท้จริง การอาบป่าจึงไม่ได้จำกัดแค่ในพื้นที่ป่าเขา แต่รวมถึงกิจกรรมง่ายๆ เช่น นั่งฟังเสียงลำธาร จัดดอกไม้ในแจกัน หรือแม้แต่การฟังคอนเสิร์ตในสวนสาธารณะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ”
“แรงบันดาลใจในการศึกษาการอาบป่าว่า มาจาก 3 เหตุผลสำคัญ 1. ความทรงจำในวัยเด็ก ที่เติบโตมากับภาพของต้นไม้สูงใหญ่ที่ออกดอกงดงามสูงถึงชั้นสองของบ้าน ความรู้สึกสงบและสุขใจที่เกิดขึ้นเวลามองต้นไม้ติดอยู่ในใจจนโต 2. ความสงสัยทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเติบโตขึ้นได้เริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมมนุษย์จึงรู้สึกดีเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ” คำถามนี้นำไปสู่การค้นคว้าอย่างจริงจัง 3. การบูรณาการข้ามศาสตร์ ศ.โยชิฟูมิ มีพื้นฐานทั้งด้านวิทยาศาสตร์สมองและแพทยศาสตร์ ทำให้สามารถเชื่อมโยงการทำงานของสมองและร่างกายเข้ากับธรรมชาติบำบัด จนก่อเกิดองค์ความรู้ใหม่ที่โลกวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยได้การศึกษาในยุคนั้น” ศ.โยชิฟูมิ กล่าว
ที่น่าสนใจ ศ.โยชิฟูมิ ยังได้ยกงานวิจัยที่ยืนยันด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ว่า การอาบป่ามีผลเชิงบวกต่อร่างกายและจิตใจอย่างชัดเจน อาทิ ลดฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) และปรับสมดุลระบบประสาท, เพิ่มการทำงานของระบบพาราซิมพาเทติก (ระบบพักและซ่อมแซมร่างกาย), ปรับสมดุลร่างกายตามธรรมชาติ เช่น ลดความดันในคนที่มีค่าความดันสูง และเพิ่มความดันในผู้ที่มีค่าต่ำ รวมทั้งผู้ที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยซึมเศร้า ผู้บาดเจ็บ หรือผู้ติดการพนัน ตอบสนองต่อการอาบป่าได้ดีกว่าคนทั่วไป

(ที่ 2 จากซ้าย) ศ.โยชิฟูมิ มิยาซากิ, ผศ.ดร.กนกวลี สุธีธร และ ทิพวัน ถือคำ
แรงบันดาลใจสู่การแปลหนังสือ “ชินริงโยกุ”
ผศ.ดร.กนกวลี สุธีธร ผู้แปลหนังสือ Shinrin Yoku เล่า ว่า ความสนใจในศาสตร์นี้เกิดจากการทำงานด้านภูมิสถาปัตยกรรมและงานวิจัยสิ่งแวดล้อมในเมืองใหญ่ โดยระหว่างการทำวิจัย ได้รับคำแนะนำให้ศึกษางานด้าน Forest Therapy และพบงานของ ศ.โยชิฟูมิ ซึ่งวิจัยเรื่องนี้มากว่า 40 ปี ขณะที่แรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่งมาจากการพบกับ ป้าแอ๊ด – ทิพวัน ถือคำ ผู้ริเริ่มกิจกรรมอาบป่าในไทย ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะทำหนังสือเกี่ยวกับอาบป่าในบริบทไทย แต่ป้าแอ๊ดแนะนำว่า “หนังสือ Shinrin Yoku เล่มนี้ดีมาก ควรแปลให้คนไทยได้อ่าน” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลที่ใช้เวลาถึง 2 ปี
ความท้าทายคือการถ่ายทอดศัพท์ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ให้อ่านเข้าใจง่าย และยังคงสาระสำคัญครบถ้วน โดยได้รับความร่วมมือจาก ศ.โยชิฟูมิ ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมและคำอธิบายละเอียด ซึ่งไม่เพียงอัดแน่นด้วยข้อมูลวิจัย แต่ยังมีเรื่องราวประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจ “จิตวิญญาณของการอาบป่า” และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที
จากผู้ป่วยภูมิแพ้…สู่ผู้นำอาบป่า
ทิพวัน ถือคำ หรือ ป้าแอ๊ด เผยถึงจุดเริ่มต้น บ้านกลางป่า Forest Bathing Base ว่า เกิดจากการสัมผัสประสบการณ์อาบป่าที่ญี่ปุ่นสองครั้ง ทั้งในรูปแบบการเดินป่าทั่วไปและแบบบำบัด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเผชิญโรคภูมิแพ้อย่างหนัก ต้องฉีดยาสลับแขนซ้ายขวาเป็นประจำ แต่เมื่อเริ่มใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติ อาการค่อยๆ ดีขึ้น จนไม่ต้องพึ่งยาอีก หลังกลับจากญี่ปุ่นจึงเริ่มทดลองกิจกรรมอาบป่ากับแขกที่มาพักในโฮมสเตย์ “บ้านกลางป่า” มีการวัดสุขภาวะจิตใจก่อนและหลังเข้าร่วมเพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม จากนั้นจึงนำเสนอต่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อพัฒนากิจกรรมอาบป่าให้เป็นจุดขายของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกาญจนบุรี
“สิ่งที่เราชอบคือการอาบป่ามีงานวิจัยรองรับ ไม่ใช่แค่ความเชื่อส่วนตัว ทำให้คนมั่นใจที่จะลอง ... แม้การอาบป่าในแต่ละประเทศจะมีบรรยากาศแตกต่างกัน แต่หัวใจสำคัญคือ “รู้จักพื้นที่ และรู้จักตัวเอง” .. การอาบป่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว แค่เปิดใจ ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 รับรู้สิ่งรอบตัว ก็สามารถเริ่มต้นได้แล้ว” ป้าแอ๊ด กล่าว

เชื่อมโยงธรรมชาติสู่ชีวิตคนเมือง
ศ.โยชิฟูมิ ฝากทิ้งท้ายว่า ทุกคนสามารถเริ่มอาบป่าได้จากสิ่งรอบตัว เริ่มจากปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและพฤติกรรม เช่น ปรับเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อย อาจจะลองจอดรถให้ไกลไปอีกสัก 100 เมตร เพื่อให้ได้เดินใต้ต้นไม่ก่อนเข้าอาคาร นำธรรมชาติเข้ามาในบ้าน อย่างการนำต้นไม้หรือแม้แต่การจัดดอกไม้ในบ้านก็สามารถผ่อนคลายความเครียดได้ ซึ่งมีงานวิจัยรองรับในเรื่องนี้ การมีดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวก็ให้ผลในเชิงบำบัดได้เช่นกัน หรือจะสร้างพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กเช่นที่ระเบียงห้องก็สามารถปลูกต้นไม้ได้ หรือลองเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าเพียงแค่การได้สัมผัสหรือมองวัสดุธรรมชาติ ก็ให้ผลคล้ายการอาบป่าได้แม้ระดับของผลลัพธ์อาจจะน้อยกว่า นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีและสื่อสัมผัสอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดภาพธรรมชาติหรือภาพป่าบอจอโทรศัพท์ที่คมชัด สามารถให้ผลคล้ายการอาบป่าได้เช่นกัน ซึ่งการเพิ่มเสียงประกอบ เช่น เสียงลำธาร หรือเสียงแมลง ช่วยสร้างบรรยากาศได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืช เช่น สนญี่ปุ่น สุดท้ายจัดเวลาสำหรับธรรมชาติย่างจริงจัง เช่น เดินเล่นในสวนสาธารณะ และหากมีเวลาลองเข้าร่วมกิจกรรมอาบป่าที่จัดโดยไกด์ผู้เชี่ยวชาญ
“สิ่งสำคัญที่สุดคือการสำรวจว่า เราชอบธรรมชาติในรูปแบบไหน และวิธีใดที่เข้ากับวิถีชีวิตของเรามากที่สุด ซึ่งธรรมชาติมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดใหญ่ที่ให้ผลดีมากแต่อาจไปได้ไม่บ่อยอย่างการอาบป่า ขนาดกลาง เช่น สวนสาธารณะ หรือ ขนาดเล็ก อย่างต้นไม้ที่ระเบียงห้อง .. การค้นหารูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง จะทำให้เราสามารถนำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้อย่างยั่งยืน” ศ.โยชิฟูมิ กล่าว