มองโลก เหลียวไทย
170

ความเสี่ยงของไทยในโลกที่ผันผวน

แชร์ข่าว

ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเล่าให้อ่านถึงสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระเบียบโลก และการเมืองระหว่างประเทศที่ผันผวนในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งอาจสร้างให้เกิดผลกระทบกับทุกประเทศบนโลก แล้วประเทศไทยของเราล่ะ จะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง วันนี้ลองมาคุยกันเรื่องนี้ครับ

โลกกำลังผันผวนเพราะอะไร? คำตอบก็คือ เกิดจาก “วิวัฒนาการ” ครับ โดยที่คำว่าวิวัฒนาการนี้รวมหลากหลายมิติเข้าด้วยกัน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี

ในทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ จีนได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆจนมาสู่จุดที่กำลังจะกลายเป็น (หรือเริ่มแล้ว) “จุดศูนย์กลางของโลก” อีกจุดหนึ่ง ในขณะที่บทบาทและระเบียบโลกของสหรัฐเดิม กำลังถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะจากบทบาทของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่วนหนึ่งก็ได้ลงมือบั่นทอนความเป็นผู้นำของตนเองด้วยเช่นกัน จีนจึงมีโอกาสก้าวเข้ามาแทนที่ มีบทบาทมากขึ้นในการช่วยเหลือประเทศอื่นๆ รวมถึงโชว์ความเหนือทางเทคโนโลยีที่รวมไปถึงการทหาร นี่แค่ยกตัวอย่าง

โลกขั้วเดียว กำลังจะเปลี่ยนไป เป็นอย่างน้อย “สองขั้ว” หรืออาจมีขั้วอื่นๆที่เป็นประเทศ หรือกลุ่มประเทศเพิ่มขึ้นอีกก็ได้ในอนาคต คำถามคือ แล้วระเบียบโลกเดิมที่พัฒนาโดยสหรัฐ และเป็นไม้ค้ำยันอำนาจให้สหรัฐล่ะ จะยังคงอยู่หรือเปลี่ยนแปลง?

เดาแบบสุดทาง ก็อาจเปลี่ยนแบบผลิกฝ่ามือ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ระบบการเงิน เศรษฐกิจ การค้า กฎหมายและระเบียบ ตลอดจนกลไกการทำงานของสถาบันระหว่างประเทศ อาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทิศทาง รูปแบบ และ วิธีการ ตลอดจนค่านิยมของสิ่งที่กล่าวมา อาจเปลี่ยนรูปแบบไปทั้งหมด แน่นอนว่า จะส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัวตามอย่างมหาศาล ซึ่งแบบนี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ง่าย และอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่หากไม่สุดทาง คือ มีเปลี่ยนบ้าง โดยยังใช้รากฐานและค่านิยมเดิมที่มีอยู่ แบบนี้ก็อาจเปลี่ยนน้อย และอาจไม่กระทบมาก หากแต่ก็ยังต้องปรับตัวกันอยู่เช่นกัน เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและเพื่อให้คว้าผลประโยชน์ได้นั่นเอง

ดังนั้น โจทย์ในวันนี้ของไทย จึงคือ “การปรับตัว” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมการล่วงหน้า เพราะมันอาจกระทบรวมถึงทิศทางของชาติ งบประมาณ เศรษฐกิจ การเมือง ไปจนวิถีชีวิตของป้ามีลุงมาที่ตลาด

ในแง่ความเสี่ยงของไทย วันนี้ไทยเรายังมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เพราะประการแรก ระบบเศรษฐกิจของเราวางไว้บนรากฐานของระเบียบโลกที่สหรัฐสร้างขึ้นหลังสงครามเย็น โดยที่ไทยเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกเสรีนับตั้งแต่วันแรกๆ ระบบภายในประเทศต่างๆถูกพัฒนามาให้สอดรับกับระบบเศรษฐกิจและระเบียบของโลกดังกล่าว หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เราจะก้าวไปสู่ระบบระเบียบใหม่ได้ทันหรือไม่ เรื่องนี้ต้องเตรียม

สอง เพราะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการหาเงินเข้าประเทศไทย ยังคงพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพะอย่างยิ่ง การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่เราเป็น “ผู้ผลิต” แต่ “ไม่ได้เป็นเจ้าของ” เรื่องนี้สำคัญมากครับ เพราะเราเป็นผู้ผลิตสินค้าให้หลายประเทศทั่วโลก โดยที่ผลิตเป็นชิ้นส่วน หรือประกอบชิ้นส่วน เมื่อเสร็จก็ส่งออกไป และหลายครั้งมันก็ย้อนกลับเข้ามาเป็นสินค้านำเข้า ถ้าไม่ก็ยังวนเวียนในประเทศในฐานะสินค้าจากต่างชาติอยู่ดี สรุปง่ายๆว่า เราเป็นโรงงาน ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ เมื่อเป็นเช่นนี้ กำไรส่วนใหญ่มันก็จะบินลัดฟ้าไปหาเจ้าของตัวจริงนั่นเอง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น อาจเกิดการย้ายฐานการผลิต ผลกระทบด้าน supply chain และอื่นๆอีกมาก

สาม เพราะเรายังยึดเอาการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักอยู่เสมอ ซึ่งมีความเสี่ยงค่อนข้างมากและอาจไม่คุ้มในระยะยาว เพราะเราพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเป็นหลัก หากเกิดความวุ่นวายทางกรเมือง โรคระบาด หรือเกิดการแบ่งขั้วแบ่งข้างกันวุ่นวายในโลกอนาคต จะกระทบกับการท่องเที่ยวได้ง่ายมากๆ แม้ว่าความวุ่นวายนั้นจะไม่ได้เกิดในไทยก็ตาม แต่การเมือง การแบ่งขั้ว อาจส่งผลให้คนไม่มาเที่ยวเมืองไทย เช่นเดียวกัน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติก็มีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายลง ต่างจากแหล่งท่องเที่ยวแบบ man made ที่ซ่อมได้อย่างรวดเร็ว

สินค้าที่เป็นของไทยอย่างแท้จริง กลับกลายเป็นสินค้าทางการเกษตร ที่มีสัดส่วนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าส่งออกอื่นๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่เป็นของไทยแท้ๆ ที่ไม่ค่อยได้รับการพัฒนา อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ รายได้จากสินค้าเกษตรทั้งหมดมันดันเกิดจากผู้ผลิตหลายสิบล้านคน (เกษตรกร) เรียกว่า เอามาหารเฉลี่ยกันยังตกคนไม่กี่ตัง

ดังนั้น วันนี้เราต้องตั้งคำถามโดยเร็วว่า เราพร้อมหรือยัง? กับสิ่งที่เราเป็นวันนี้ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตข้างหน้า เรารับมือได้หรือไม่ รับมืออย่างไร ? คำถามเหล่านี้ควรเร่งหาคำตอบไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดช็อค เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น

เราอาจต้องหันมามองตัวตนที่แท้จริงของเราอีกครั้ง ว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราสร้างเศรษฐกิจได้เป็นกอบเป็นกำ ได้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ และมั่นคงจริงๆ พูดง่ายๆว่าอะไรที่เรามีเยอะ มีดี และเป็นจุดแข็ง แล้วลงมือพัฒนามัน ทั้งด้าน productivity ด้านตลาด และการเพิ่มมูลค่า นี่อาจเป็นเสต็ปแรกสำหรับการ “ยืนด้วยขาของตัวเอง” แบ่งไข่ใส่ตะกร้าใบอื่นเพิ่มมากขึ้นแทนที่จะพึ่งพาตะกร้าอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงสูง

การพึ่งพาตนเอง ยึดเอาจุดแข็งด้านการเกษตรให้เป็นประโยชน์ อาจนำเราไปสู่การเป็นหนึ่งในด้านการผลิตอาหาร ซึ่งจะเอาเป็นเป้าหมายก็คงไม่ผิด ถ้าไปได้ ก็ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ต่างชาติมาพึ่งพาไทยมากขึ้นก็เป็นได้ เพราะนอกจากอากาศแล้ว..ก็คงอาหารนี่แหล่ะ ที่คนยังต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าจะมีแค่ดาบ หรือ นิวเคลียร์

เอวัง

ข่าวแนะนำ