ในยุคที่สัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนคลายเหงา แต่กลายเป็นสมาชิกที่สำคัญของครอบครัว นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้ใช้ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี มารังสรรค์นวัตกรรม “บ้านแมวอัจฉริยะ” โดยได้นำความรู้การทำงานของหุ่นยนต์ เซ็นเซอร์ ระบบควบคุม และ Internet of Things (IoT) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างบ้านที่ไม่เพียงดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และความสุขของแมว แต่ยังช่วยให้บรรดาเจ้าของอุ่นใจได้แม้ในยามที่ไม่ได้อยู่บ้าน
แรงบันดาลใจของโครงการนี้มาจากชีวิตจริงของ นางสาวจิราพรรณ พึ่งอ้น (ตอง) และ นางสาวณัฐชญา เปรี่ยงภูเขียว (มายไดซ์) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ผู้พัฒนาโครงการ หรือ M.T.CAT Home ซึ่งต่างเป็น “ทาสแมว” ที่ต้องเลี้ยงแมวในหอพักซึ่งมีพื้นที่ที่จำกัด สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยง ทั้งความแออัด อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงง่าย และความกังวลเมื่อจำเป็นต้องปล่อยให้แมวอยู่ตามลำพัง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่จะสร้าง “บ้านแมวอัจฉริยะ” ที่แตกต่างจากบ้านแมวอื่นทั่วไป

•เทคโนโลยี IoT สู่ระบบควบคุมอัจฉริยะ
อาจารย์กันยารัตน์ พูลเพียร อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นโปรเจกต์จบการศึกษาของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ซึ่งทุกคนจะต้องคิดและพัฒนาโครงการที่สะท้อนถึงความรู้และทักษะที่ได้เรียนมาตลอดหลักสูตร สำหรับนักศึกษากลุ่มนี้มีพื้นฐานด้านเซ็นเซอร์ การเขียนโปรแกรม และระบบควบคุม จึงสามารถนำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้กับโจทย์ที่ใกล้ตัวอย่างการเลี้ยงแมวได้อย่างสร้างสรรค์
“จุดเด่นของผลงานนี้คือการดัดแปลงอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พัดลมธรรมดา แล้วนำมาติดตั้งเซ็นเซอร์และคอนโทรลเลอร์ที่นักศึกษาออกแบบขึ้นใหม่ ทำให้สามารถสั่งงานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นการเปิด–ปิด การปรับอุณหภูมิ หรือการตั้งค่าโหมดอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น หากอุณหภูมิภายในบ้านแมวอยู่ในระดับที่เหมาะสมคือ 26–27 องศาเซลเซียส ระบบจะสั่งปิดเครื่องปรับอากาศและสลับไปใช้พัดลมแทน เพื่อประหยัดพลังงานและยังคงรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อสุขภาพของแมว” อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ กล่าว

ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กันยารัตน์ ยังมีบทบาทในการช่วยนักศึกษามองปัญหาในมุมของ “ผู้ใช้จริง” โดยอาศัยประสบการณ์ตรงในฐานะคนเลี้ยงแมวด้วยเช่นกัน ทำให้สามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้ว่าพฤติกรรมของแมวเป็นอย่างไร อุณหภูมิแบบใดที่เหมาะสม หรือเจ้าของมักกังวลเรื่องใดเมื่อต้องทิ้งแมวไว้เพียงลำพัง เพื่อให้นักศึกษานำข้อมูลเหล่านี้ไปออกแบบระบบและเลือกอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์จริง
อาจารย์กันยารัตน์ ทิ้งท้ายด้วยว่า ผลงานนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่การเป็นโครงงานจบการศึกษา แต่ยังมีศักยภาพในการต่อยอดเชิงวิจัยและการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในอนาคต อีกทั้งยังสามารถยื่นขออนุสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองผลงานได้ เนื่องจากเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปมาดัดแปลงและเชื่อมต่อเข้ากับระบบ IoT ได้จริง ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการดูแลสัตว์เลี้ยง และมีศักยภาพในการขยายผลสู่การใช้งานในวงกว้าง ทั้งในครัวเรือน ธุรกิจสัตว์เลี้ยง รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนและสัตว์
•โครงสร้างที่ออกแบบอย่างใส่ใจ
นางสาวจิราพรรณ พึ่งอ้น หรือ ตอง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี DPU กล่าวว่า บ้านแมวอัจฉริยะมีขนาดความสูงด้านซ้าย 2.20 เมตร ด้านขวาสูง 2.50 เมตร ใช้โครงสร้างแบบ “น็อคดาวน์” จากวัสดุหลักอย่างเหล็กและไม้ จึงแข็งแรงและสะดวกในการเคลื่อนย้ายหรือปรับเปลี่ยน สามารถรองรับแมวได้มากถึง 5–8 ตัว ซึ่งถือว่ามากกว่าบ้านแมวทั่วไปที่จุได้เพียง 2–3 ตัวเท่านั้น
“สำหรับภายในบ้านแมวถูกจัดวางระบบและสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งเครื่องปรับอากาศ พัดลม พัดลมระบายอากาศ กล้องวงจรปิด สมาร์ทล็อก และเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ โดยทั้งหมดเชื่อมต่อเข้ากับคอนโทรลเลอร์ที่นักศึกษาออกแบบขึ้นเอง สามารถสั่งงานได้ทั้งจากจอควบคุมที่ติดตั้งในบ้านแมว และจากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ช่วยให้เจ้าของวางแผนการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็ยังสามารถตรวจสอบและดูแลสัตว์เลี้ยงได้เสมือนอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา” นักศึกษาที่ร่วมพัฒนา บ้านแมวอัจฉริยะ กล่าว
•ระบบอัจฉริยะที่คิดเพื่อความสะดวกและการประหยัดพลังงาน
ขณะที่ นางสาวณัฐชญา เปรี่ยงภูเขียว หรือ มายไดซ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี DPU บอกถึงจุดเด่นของบ้านแมวนี้คือ แอปพลิเคชันที่ทำงานได้ทั้งแบบอัตโนมัติและแมนนวล สามารถบันทึกข้อมูลย้อนหลัง วิเคราะห์อุณหภูมิเฉลี่ย และคำนวณค่าไฟฟ้าล่วงหน้าได้ ค่าไฟโดยเฉลี่ยหากเปิดใช้งานเต็มระบบอยู่ที่ประมาณ 1,600 บาทต่อเดือน แต่หากติดตั้งโซลาร์เซลล์จะลดเหลือเพียง 600–800 บาทต่อเดือน นอกจากนี้วัสดุที่เลือกใช้ยังมีคุณสมบัติทนความร้อน กันความชื้น กันเชื้อรา และติดไฟยาก เพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัย โดยในอนาคตจะเพิ่มระบบสปริงเกลอร์ดับเพลิงอัตโนมัติและเซ็นเซอร์วัดความชื้น เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุไฟไหม้ที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่อยู่อาศัย

แม้จะใช้วัสดุและระบบที่เทียบเท่ากับที่อยู่อาศัยของคน แต่ “บ้านแมวอัจฉริยะ” มีราคาจำหน่ายเบื้องต้นเพียง 90,000 บาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าบ้านแมวทั่วไปที่มีขนาดเล็กกว่า ไม่มีระบบอัจฉริยะ แต่กลับมีราคาสูงถึงหลักแสน โดยต้นแบบนี้ใช้เวลาสร้างประมาณ 3 เดือน นักศึกษาลงมือทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเชื่อม เจาะ ตัด ไปจนถึงประกอบตัวบ้าน ปัจจุบันเหลือเพียงการปรับปรุงเซ็นเซอร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนตุลาคมนี้ อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการนำไปต่อยอดเป็นออฟฟิศหรือร้านค้าแทนตู้คอนเทนเนอร์ เนื่องจากโครงสร้างน็อคดาวน์สามารถถอดประกอบและดัดแปลงได้ ขณะเดียวกันนักศึกษายังมีแผนต่อยอดในเชิงพาณิชย์ งานวิจัย และการยื่นจดอนุสิทธิบัตร เพื่อผลักดันนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป
ผลงาน “บ้านแมวอัจฉริยะ” ของนักศึกษา DPU ไม่เพียงสะท้อนความสามารถทางวิชาการด้านหุ่นยนต์และ IoT แต่ยังเป็นตัวอย่างของการใช้ความรู้สร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ปัญหาจริงในชีวิตประจำวัน ยังเป็นการย้ำถึงแนวคิดของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ในการ “ปลุกศักยภาพ เปลี่ยนอนาคต” ของนักศึกษาให้พร้อมก้าวสู่โลกธุรกิจ