"ธรรมนัส" โต้ "วรวัจน์" เทคโนโลยี Genome Editing แตกต่างจาก GMOs ปลอดภัยต่อผู้บริโภค หลายประเทศยอมรับแล้ว และไทยยังอยู่ในขั้นวิจัย ไม่อนุญาตนำเข้าพืชดัดแปลงเชิงพาณิชย์
วันที่ 30 ก.ย.68 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ชี้แจงกรณี นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่อง การเปิดช่องนำเข้าพืช GMOs GEd ทำลายราคาสินค้าเกษตร ทำประเทศ เกษตรกรไทย สูญรายได้มหาศาล ว่า ” เรื่องพืชตัดต่อพันธุกรรม (Genetically Modified Organism) หรือ GMOs ซึ่งกระทบต่อเกษตรกรอย่างมาก ตนยืนยันว่าแตกต่างกับการปรับปรุงพันธุกรรมพืช Genome Editing หรือGEd เพราะ GMOs เป็นการตัดต่อพันธุกรรมโดยนำยีนของพืชต่างชนิดมารวมกัน ซึ่งเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นการทำลายพืชและสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง แต่GEd เป็นเรื่องของการปรับปรุงพันธุกรรมในพืชหรือสิ่งมีชีวิตชีวิตเดียวกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ต้านทานโรคจนได้พันธุ์มะเขือเทศที่มีภูมิต้านทานโลก ตนได้ประกาศในประกาศกระทรวงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะรับรองให้นักวิชาการสถาบันเกษตรกร และกรมวิชาการเกษตรให้มีการศึกษาวิจัยการตัดต่อหรือการปรับปรุงจีโนม ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการนำเข้าพันธุ์พืช GMOs จากต่างประเทศ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการวิจัยในห้องทดลองของกรมวิชาการเกษตร เราบริหารราชการแผ่นดินในเวลาอันสั้นและที่สำคัญคือนโยบายขอรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องปัญหาของเกษตรกร เราได้นำนโยบายของนายเศรษฐามาปฏิบัติคือนโยบายเพื่อการเกษตรตลาดนำนวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร“
ทั้งนี้ ในเอกสารการชี้แจงรัฐสภาของ ร.อ.ธรรมนัส มีข้อมูลเรื่องGEd ที่น่าสนใจ ทั้งความจำเป็น แผนการดำเนินงานต่างเป็นการตอบข้อสงสัยเรื่อง GMOs และ GEd ทำไมต้องปรับแต่งจีโนม การปรับแต่งจิโนม Genome Editing : GEd เป็นนวัตกรรมที่แตกต่างจาก GMOs โดยใช้การเติม ตัด หรือเปลี่ยนลำดับของยืนที่ต้องการใน จีโนม เพื่อปรับปรุงพันธุ์พืช โดยไม่มีการนำเอา DNA หรือยืนจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเข้ามาร่วมด้วย การค้นหายืน (Gene Discovery) เป็นกระบวนการค้นหาและระบุยืนที่มีหน้าที่หรือมีความเกี่ยวข้องกับลักษณะที่ต้องการปรับปรุงพันธุ์พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย นำไปสู่การค้นพบยืนใหม่ (novel gene) และโอกาสนำยืนไปใช้ปรับปรุงพันธุ์ ตลอดจนสนับสนุนการคุ้มครองสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับพันธุ์พืชของไทย

สำหรับแผนการดำเนินงาน ปี 2567-2568 อยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยการปรับปรุง พันธุ์ในพืช ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าว มะเขือเทศ และเห็ด ระยะกลาง นำร่องปลูกทดสอบในแปลง ได้แก่ มะละกอและมะเขือเทศต้านทานโรค ฟ้าทะลายโจรสารสำคัญสูง ระยะยาว การรับรองพันธุ์ สู่การใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
ส่วนกรณีการทดลองหรือวิจัย ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกำหนด ทั้งก่อนนำเข้าและระหว่างการทดลองวิจัย โดยกำหนดให้ต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืช และสุ่มตรวจสอบศัตรูพืชและ GMOs ในห้องปฏิบัติการเพื่อการควบคุมกำกับดูแลไม่ได้เปิดเสริให้ใช้เชิงพาณิชย์ในประเทศ ข้อยกเว้นและเงื่อนไข อาหารสำเร็จรูป และข้าวโพด/ถั่วเหลืองที่ใช้เป็น วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ หรืออาหารสำหรับมนุษย์ หรือเพื่อการ อุตสาหกรรม กำหนดให้ต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืชกำกับมาด้วย ทั้งนี้ด้วยภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวในประเทศไทยมีมูลค่าหลักหมื่นถึงแสนล้านบาท ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบทั้ง GMOs และ non-GMOs เนื่องจากผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอ พ.ร.บ. กักพืช พ.ศ. 2507 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังคงบังคับใช้อย่างเคร่งครัด โดยไม่มีการอนุญาตให้นำพืชดัดแปลงพันธุกรรมมาเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ในประเทศ ประเด็นการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ.2567 (วันที่ 11 ก.ค. 2567)

GEd คือ อะไร?
• เทคโนโลยี Genome Editing (การปรับแต่งจีโนม) หรือ GEd ที่ไม่ใช่ GMOs มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เนื่องจากไม่ได้มีการนำยืนจากสิ่งมีชีวิตอื่นมาผสม แต่เป็นการปรับปรุงพันธุกรรมภายในชนิดพืชนั้นเอง
• หลายประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสูง เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป จีนสหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็ได้ยอมรับเทคโนโลยี GEd นี้แล้ว
• ประกาศกระทรวงฯ จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และความเชื่อมั่นต่อภาคเกษตรไทย และขับเคลื่อนเกษตรไทยด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ให้การวิจัยและการใช้ประโยชน์ในอนาคตเป็นไปอย่างปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
• ยังอยู่ในกระบวนการศึกษาวิจัยการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่รองรับภาวะวิกฤตและสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเท่านั้น ไม่มีการอนุญาตนำเข้าพืช GEd ใดๆ เลย
ทั้งนี้ ทุกขั้นตอนยังต้องอยู่ภายใต้ กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สอดคล้องตามหลักเกณฑ์สากล บนพื้นฐานข้อเท็จจริงหลักการทางวิทยาศาสตร์ สร้างความเชื่อมั่นต่อนานาประเทศ